ThaiHotNew รายงานข่าว ประเด็นร้อน!

ข่าวร้อน ประเด็นเด็ดของเมืองไทย ทุกสถานการณ์ติดตามได้ที่นี้ ThaiHotNew.Blogspot.com




คลิปหลุด ธัญญ่า ...หลังเป็นข่าวฮือฮาในโลกไซเบอร์ เกี่ยวกับคลิปเสียงสามีไฮโซ ป. ทะเลาะกับภรรยาดาราสาว ธ. เพื่อทวงลูกสาวคืน เหตุภรรยาหอบลูกหนีไปเมืองนอกนั้น ล่าสุดดาราสาว ธัญญ่า - ธัญญาเรศ เองตระกูล ได้ออกมายอมรับแล้วว่าคลิปดังกล่าวเป็นเสียงของตัวเองจริง ๆ แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยคลิป

โดยในเนื้อหาการสนทนาเป็นการโต้เถียงกัน ซึ่งเป๊กได้ต่อว่าธัญญ่า ถึงการกระทำที่หอบลูกสาวหนีไปเมืองนอก พร้อมกับต่อว่าต่าง ๆ นานา ขณะที่ธัญญ่าตอบกลับไปว่า ที่ทำแบบนี้เพราะเป๊กไปมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับดาราสาวคนหนึ่ง และหากคิดถึงลูก ก็บอกให้เป๊กมาหาลูกได้ ไม่ได้ห้าม แต่กลับทำให้เป๊กไม่พอใจ พร้อมพูดจาหยาบคายใส่ และบอกว่า "พ่อไม่ให้ไป"

แถมยังประกาศชัดว่า เรื่องความสัมพันธ์ของตนกับดาราสาวคนนั้น เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับลูก พร้อมขู่ไม่ให้ธัญญ่ากลับมาเมืองไทย และให้ระวังตัวให้ดี มิเช่นนั้นจะไม่มีวันได้เห็นหน้าลูกสาวอีกตลอดชีวิต

ขณะที่ธัญญ่าตอบกลับไปว่า ถ้าหากอยากได้ลูก ก็ให้ไปทำเอาใหม่ ส่งผลให้เป๊กโมโหและหลุดคำพูดที่หยาบคายออกมาหลายครั้ง และยังมีคำพูดขึ้นมึง - กูตลอดการสนทนา อีกทั้งยังขู่ฆ่าครอบครัวของเธอด้วย

อย่างก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ยังไม่มีรายงานว่าใครเป็นคนปล่อยคลิปฮือฮาดังกล่าว มีเพียงดาราสาวธัญญ่า – ธัญญาเรศ ที่ออกมายอมรับว่าเป็นเสียงของตัวเองจริงเท่านั้น

...................................................................................
เฮียฮ้อ งานเข้า ถูกหักหน้า "จุ๊น"ลั่นไม่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งแอนนี่ วอนทุกคนหยุด


"จุ๊น" กิตติคุณ สัมฤทธิ์พันธ์สุข นักแสดงหนุ่ม ให้สัมภาษณ์ที่สยามพารากอน เมื่อวันที่ 28 กันยายนถึงกรณีที่นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ หรือเฮียฮ้อ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อาร์เอสฯ เปิดเผยเป็น 1 ใน 4 ผู้ชายที่มีความสัมพันธ์กับแอนนี่ บรู๊ค นักแสดงสาว ว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแอนนี่ รู้จักกันแต่ไม่สนิท เคยเจอกันแต่นานมาแล้ว ขอยืนยันว่าไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งแต่อย่างใด



ผู้สื่อข่าวถามถึงการตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์ความเป็นพ่อของลูกแอนนี่ จุ๊น กล่าวว่า ไม่มีความสัมพันธ์กันจะไปตรวจทำไม ส่วนกรณีที่เฮียฮ้อ กล่าวพาดพิงนั้นเป็นเด็กเคารพผู้ใหญ่ ไม่ขอพูดพาดพิงถึงคนที่สาม ทั้งหมดได้ปรึกษาผู้ใหญ่แล้วจึงได้ออกมาอธิบายหลังจากเรื่องแรงขึ้นเรื่อยๆ

"ประเด็นที่ว่าไปอเมริกา ไม่ได้ทำอะไรไม่จำเป็นต้องหลบ ไม่รู้ว่าจะไปอเมริกาทำไม"

ส่วนที่จะฟ้องเฮียฮ้อหรือไม่นั้นเป็นหน้าที่ของผู้จัดการส่วนตัว อย่างไรก็ตาม เมื่อเช้าคนสนิทได้ต่อโทรศัพท์ให้คุยกับแอนนี่ คำแรกที่ตนถามแอนนี่คือ "ป้าเป็นอย่างไรบ้าง"


ผู้สื่อข่าวถามว่าแอนนี่เรียกเงิน 2.5 แสนบาทจริงหรือไม่ จุ๊น ได้ถามนักข่าวกลับว่า "ถ้ามีคนมายืมเงินพวกพี่ๆ 2.5 แสนบาทพี่จะให้หรือเปล่า ยิ่งผมเป็นคนงกด้วย"


กิตติคุณ ยังได้ปฏิเสธข่าวเฮียฮ้อจ้าง 10 ล้านให้เป็นพ่อของลูกแอนนี่ด้วย "ครอบครัวสอนให้ผมเป็นคนที่เงินซื้อไม่ได้ ข่าวมั่ว ถ้าจ้างจริงก็ซื้อไม่ได้"

"สงสารแอนนี่และน้อง ทุกคนควรให้กำลังใจมากกว่า ที่มาแถลงข่าวเพราะต้องการเคลียร์ข่าว เป็นผู้ชายไม่เสียหาย แต่แอนนี่เป็นผู้หญิงเสียหายกว่า ขอให้ทุกคนหยุด"

"แอนนี่" ไม่ตอบโต้ "เฮียฮ้อ"แฉสัมพันธ์ 4 หนุ่ม ลั่นพูดความจริงหมดแล้ว ไม่รู้จัก"จุ๊น"เครียดสื่อตาม

จากกรณีที่ นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ หรือ เฮียฮ้อ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทอาร์เอสฯ แถลงอ้างว่า ได้ข้อมูลหลักฐานที่ระบุว่า เมื่อปี 2552 ที่ผ่านมา แอนนี่ บรู๊ค นักแสดงสาว เคยคบกับเพื่อนชาย 4 คน และ บอกผู้ชาย 4 คนนี้ว่า ท้องด้วยว่า พร้อมขอเงินแต่ละคน เป็นจำนวนคนละ 250,000 บาท ซึ่ง 2ใน4 คน นั้น คือ ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัย์ นักร้องนักแสดงชื่อดังในสังกัด และ จุ๊น-กิตติคุณ สัมฤทธิ์พันธ์สุข นักแสดงหนุ่ม นั้น

แอนนี่ บรู๊ค ให้สัมภาษณ์ กับ"มติชน" ว่า ไม่ขอออกความเห็นใดๆ เรื่องที่นายสุรชัย แถลง เพราะที่ผ่านมาพูดความจริงไปหมดแล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเรื่องแบบนี้ออกมาอีก

"ไม่สะดวกจะพูดจริงๆ เพราะตอนนี้เครียดมาก นักข่าวตามมาเฝ้าที่บ้านอีกแล้ว อยากขอว่าให้แอนนี่ได้ออกไปนอกบ้านบ้าง ตอนนี้จุกนมลูกพัง อยากออกไปซื้อใหม่" แอนนี่กล่าว

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ แอนนี่เคยตอบคำถามเรื่องสัมพันธ์กับจุ๊น กิตติคุณว่า รู้ว่าเป็นดารา แต่ไม่รู้จักเป็นส่วนตัว

"แอนนี่"ลั่นดีเอ็นเออยู่บนหน้าลูก

ก่อนหน้านี้ ที่ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลพระราม 2 เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 27 ก.ย. ที่ผ่านมา น.ส.รุ่งนภา แก้วไทรหาญ แอนนี่ บรู๊ค นักแสดงสาว ให้สัมภาษณ์ก่อนบันทึกเทปรายการตีสิบ ถึงการตรวจดีเอ็นเอเพื่อยืนยันฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ นักร้องชื่อดัง เป็นพ่อของลูกชายว่า เลยจุดที่ต้องตรวจดีเอ็นมาแล้ว ถ้าฟิล์มจะตรวจ อยากถามว่าจะตรวจเพื่ออะไร

เมื่อถามว่าที่แอนนี่เคยบอกว่าตรวจหรือไม่ตรวจดีเอ็นเอ มีผลเท่ากัน หมายความอย่างไร นักแสดงสาวกล่าวว่า ตอนอ่อนแอที่สุดอยากได้ใครสักคน ก็ไม่ได้ แต่วันนี้เข้มแข็งที่สุดแล้ว ไม่ต้องการใครทั้งนั้น สามารถยืนด้วยขาด้วยตัวเอง ดูแลลูกได้ ไม่ต้องมาความช่วยเหลือจากใครทั้งสิ้น ทั้งนี้ มีมูลนิธิเพื่อนหญิงต่อติดให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย แต่ตนเห็นว่าการขึ้นศาลดูเยอะไปสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียว
"ทุกวันนี้ก็เหมือนเดิมตลอด 1 ปีที่ผ่านมา แอนนี่ต้องติดคุกที่เรียกว่าบ้าน แอนนี่อยากออกตีสิบเพื่อเคลียร์ตัวเอง อยากพาลูกออกไปเดินเล่นนอกบ้านบ้าง อยากพาลูกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ไม่ใช่พัดลมบ้าง อยากพาไปสวนสัตว์บ้าง"

เมื่อถามว่า มีคนมองว่าแอนนี่คบผู้ชายหลายคน ลูกอาจไม่ใช่ลูกของฟิล์ม นักแสดงสาวกล่าวว่า เมื่อวานก็คืออดีต 4-5ปีที่ผ่านมาก็คืออดีต ถ้าหนูคบใครก็คงมีข่าวซุบซิบไปแล้ว เพราะความลับไม่มีในโลก

"การพูดให้ตรวจดีเอ็นเอ เป็นคำด่าที่สุภาพมาก ว่าหนูเป็นผู้หญิงไม่ดี ถามว่า 4-5ปีหนูเคยมีประวัติเสียบ้างไหม"

ต่อข้อซักถามว่า มีกระแสข่าวว่าแอนนี่เคยมีความสัมพันธ์กับ จุ๊น กิตติคุณ สัมฤทธิ์พันธุ์สุข นักแสดงหนุ่ม แอนนี่กล่าวว่า "จริงหรือ ไม่เคยรู้จัก เขาเป็นดาราใช่ไหม แอนนี่ก็รู้จักแค่ว่าเขาเป็นดารา ไม่เคยคุยกันเป็นการส่วนตัวเลย เคยเห็นเขามานั่งเล่นที่บ้านชลลัมพีแค่ครั้งเดียว 4-5ปีที่ผ่านมาหลังจากรับบทตลกหญิง แอนนี่ไม่เคยทำตัวเสียหาย ทิ้งภาพเซ็กซี่สตาร์ไปหมด ในกมลสันดานไม่ได้อยากทำแบบนั้น ในเมื่อต้องทำงานเลี้ยงแม่ ภาพที่ออกมา 4-5ปี ก่อน จึงเป็นแบบนั้น แต่ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา เราคบหาดูใจกับฟิล์มคนเดียว"


"1ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ความจริงได้ เมื่อหนูออกมาพูดความจริงก็ทำร้ายเขาอยู่แล้ว ถามว่าตั้งใจไหม ก็ไม่เคยตั้งใจเลย ถ้าเรื่องลูกไม่แดงขึ้นมา หนูไม่รู้ว่าจะต้องปิดอีกกี่ปี หรือต้องปิดไปอีกตลอดชีวิต"


เมื่อถามว่า อะไรเป็นจุดที่แอนนี่ออกมาเปิดเผยความจริง แอนนี่กล่าวว่า เคยบอกกับเขาว่าถ้าวันหนึ่งเรื่องแดงขึ้นมา จะบอกว่านาย ก. นาย ข. เป็นพ่อเด็ก แต่ถ้านักข่าวไปรู้ความจริงว่าใครเป็นพ่อ แล้วมาถามตน ตนจะกลายเป็นคนโกหก ลูกเองก็ต้องรู้ว่าใครเป็นพ่อ จะบอกลูกว่าพ่อเป็นฟิล์ม


"ถ้าเราเคลียร์เรื่องนี้ตั้งนานแล้ว คงไม่มาไกลจนถึงวันนี้ ความรู้สึกของหนูจบนานแล้ว หนูคิดว่าเรื่องทั้งหมดคงจบ ถ้าเราได้คุยกัน แต่มีตัวกลาง ตัวแปรเยอะ คงไม่มีการพูดคุย 2 คนอีกแล้ว"


ถามว่าตัวแปรคือใคร แอนนี่กล่าวว่า บางคนโทรมาบอกว่าฟิล์มพูดถึงเรื่องบนเตียง ตนคิดว่าจริงไม่จริงอย่างไร ผู้หญิงก็เสียหาย ตนก็เสียหายอยู่ดี


เมื่อถามว่า สัญญาที่ฟิล์มให้คืออะไร นักแสดงสาวกล่าวว่า "อดทนนะ เพราะคุณคือแม่ของลูกผม เท่านั้นแหละ หนูถวายหัวเลยล่ะ หนูให้ชีวิตหนูได้เลย" อย่างไรก็ตาม ยอมรับไม่เคยคุยเรื่องแต่งงานกัน เพราะตนเชื่อว่าการแต่งงานไม่ใช่เรื่องสำคัญ ใจและความสัมพันธ์สำคัญกว่า


เมื่อถามว่า ยังรักฟิล์มอยู่หรือไม่ แอนนี่อึ้งไปสักครู่ก่อนตอบว่า "ทั้งรักทั้งชัง แต่ไม่ได้แค้น ไม่เหมือนหนังจีน"


ต่อข้อซักถามว่า ในวันที่ 28 ก.ย. ฟิล์มและนายสุรชัย เชษฐ์โชติศักดิ์ ประธานกรรมการบริหารบริษัทอาร์เอส จำกัด (มหาชน) จะแถลงข่าว อยากบอกอะไร นักแสดงสาวกล่าวว่า "ทุกเรื่องไม่ได้จบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง ตัวเขายังต้องไปอีกไกล มีงานโกอินเตอร์อีก แต่อยากให้เขาลองมองเข้าไปในหัวใจตัวเองลึกๆ ว่าลูกคนนี้เป็นลูกของคุณหรือไม่ ถ้าคิดว่าไม่ใช่พ่อเด็กก็ไม่เป็นไร ถ้าคิดว่าใช่ก็ใช่ แต่อยากให้ลองมองลงไปในลึกๆ ก่อน"


"ดีเอ็นเออยู่หน้าลูกของหนูหมดแล้ว ทุกคนเกิดมาไม่ใช่หน้าเหมือนกัน" เมื่อถามว่าโตขึ้นจะพาลูกไปหาพ่อหรือไม่ แอนนี่กล่าวว่า "พ่อจะมาหาเขาไหมล่ะ" ทั้งนี้ แอนนี่กล่าวว่า ฟิล์มได้ตั้งชื่อลูกชายว่า "สตาร์" ในวันแรกที่เห็นหน้าลูก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า ฟิล์มจะตามไปตอนบันทึกเทปรายการตีสิบ แต่ต่อมาทางอาร์เอสได้ยืนยันว่า นักร้องหนุ่มไม่มาแต่อย่างใด

นักแสดงสาว"แอนนี่"บันทึกเทปรายการ"ตีสิบ"วันนี้ "วิทวัส" ยันไม่มี"ฟิล์ม"ร่วมรายการแน่นอน เพราะไม่ได้เชิญไป ด้าน"เฮียฮ้อ"ทวิตทุกคนเคยทำผิดพลาด หากตั้งใจแก้ไขให้ถูกต้องเมื่อมีโอกาสคนจะสรรเสริญ ขณะที่"แอนนี่" แจงเหตุไม่รับโทรศัพท์เพราะไม่มีอะไรต้องพูดกันและผ่านจุดนั้นมาแล้ว

นักแสดงสาว"แอนนี่ บรู๊ค"เตรียมเปิดใจอีกครั้งวันนี้(27ก.ย.) ในการบันทึกเทปรายการ"ตีสิบ"ของพิธีกรชื่อดัง วิทวัส สุนทรวิเนตร์ โดย นายวิทวัส พิธีกรรายการ "ตีสิบ" กล่าวยืนยันว่าทางรายการไม่ได้เชิญนักร้องหนุ่ม"ฟิล์ม" รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ มารายการแต่อย่างใด และไม่ทราบเรื่องที่ศิลปินชื่อดังจะเดินทางมาพบแอนนี่ บรู๊ค ในรายการ

"ทางรายการเราไม่ได้มีการเชิญฟิล์มมาออกรายการด้วย ไม่มีการติดต่อไปเลย เราเชิญแอนนี่คนเดียว ส่วนที่มีข่าวว่าฟิล์มจะมารายการเรา ขณะที่สัมภาษณ์แอนนี่นั้น เรื่องนี้เราไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่า แต่คิดว่าไม่น่าจะใช่ ถามว่าถ้าเขามาจริงๆ จะตั้งรับยังไง ผมคิดว่าไม่น่าจะมา เพราะทางเราไม่ได้ติดต่อทางฟิล์ม แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราไม่ได้พูดกับแอนนี่ และมันเป็นจรรยาบรรณอยู่แล้ว ที่ไม่ควรทำ เราไม่หักหลังแขกรับเชิญอยู่แล้ว ยืนยันว่าไม่มีฟิล์มมาในรายการแน่นอน ไม่มีเซอร์ไพรส์แน่นอน ผมยืนยัน" พิธีกรรายการตีสิบ กล่าว

นายวิทวัส ยังกล่าวอีกว่า การสัมภาษณ์แอนนี่ในรายการ จะเป็นการนำเสนอชีวิตของแอนนี่ว่าที่ผ่านมาชีวิตเขาเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง เพราะตอนนี้เขาเป็นบุคคลในข่าว เราจะพูดถึงแอนนี่มีผลงานอะไรมาบ้าง ผ่านงานร้องเพลงอะไรมาบ้าง และขอยืนยันอีกครั้งว่าการบันทึกเทปในวันนี้ เราไม่ได้เชิญฟิล์มมารายการ และไม่มีสคริปต์นี้แน่นอน

ทางด้านนายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ หรือ เฮียฮ้อ ประธานบริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ได้โพสต์ผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องฟิล์มว่า ทุกคนย่อมเคยทำผิดพลาดในชีวิตมาแล้วทั้งสิ้นจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่หากมีความตั้งใจและพยายามแก้ไขให้ถูกต้องเมื่อมีโอกาสก็จะมีคนสรรเสริญ

ก่อนหน้านั้นผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังแอนนี่ บรู๊ค ได้รับคำตอบว่าไม่อยากเผชิญหน้าฟิล์ม แม้ศิลปินหนุ่มต้องการพบเพราะที่ผ่านมาตนเป็นฝ่ายอยากเจอนักร้องหนุ่มมาตลอด แต่ถูกปฏิเสธ อีกทั้งตอนนี้ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ดังนั้นการไม่เจอกัน อาจจะเป็นเรื่องที่ดี

"แต่ถ้าเขาอยากมาเจอ แอนนี่บอกตรงๆ ว่าไม่อยากเจอ ถ้าจะต้องเจอกันจริงๆก็เลือกไม่ได้ เพราะแอนนี่มีจุดยืนของตัวเอง แอนนี่ยืนจุดเดิมที่แอนนี่ยืนอยู่ ตลอดระยะเวลา 1 ปี แอนนี่อยากเจอเขา แต่เขาไม่อยากเจอแอนนี่ พอตอนนี้จะมาอยากเจอแอนนี่ทำไม ช่วงเวลาที่เราต้องการเขา แต่เขาไม่ต้องการเรา แล้วตอนนี้จะมาเจอกันเพื่ออะไร ทุกอย่างมันควรจบไปได้แล้ว แอนนี่โตแล้วมีลูกที่ต้องเลี้ยงดู ต้องก้าวต่อไป แอนนี่อยู่ได้ แต่ลูกต้องมีกิน แอนนี่เจ็บได้ แต่ลูกแอนนี่ต้องไม่เจ็บ สองอาทิตย์ที่ผ่านมามันหนักเกินไปแล้ว แอนนี่จะต้องทำงาน จะต้องมีเงินมาเลี้ยงลูกของแอนนี่ต่อไปเช่นเดียวกับเขา เขาก็ต้องกลับไปทำหน้าที่ ไปทำงานของเขา ไปเลี้ยงดูครอบครัวเขา ทุกคนก็ต้องก้าวต่อไปด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นการไม่เจอกัน มันอาจจะดีกว่า" แอนนี่กล่าว

ส่วนกรณีที่มีการระบุว่าฟิล์มจะก้าวต่อไปไม่ได้ถ้าไม่มีการตรวจดีเอ็นเอ ดาราชื่อดังกล่าวว่า เป็นเรื่องไม่จริง เพราะนักร้องหนุ่มเป็นคนน่ารัก เป็นคนทำงานดี ผู้ใหญ่ไม่ใจร้ายทำกับเขาแบบนั้น ยิ่งตอนนี้กระแสสังคมบางส่วนก็เทใจไปให้ และสงสารศิลปินหนุ่ม

"เพราะฉะนั้นแอนนี่เชื่อว่าเขาจะกลับมาทำงานต่อไปได้ ทางผู้ใหญ่ต้องให้โอกาสเขาอยู่แล้ว ซึ่งแอนนี่ก็ยังหวัง และยังอยากเห็นเขาเป็นคนที่แฟนๆ ชื่นชมอยู่เหมือนเดิม แอนนี่เชื่อว่าฟิล์มจะผ่านตรงนี้ไปได้ เพราะเขาเคยเจอเรื่องร้ายๆ มาเยอะแล้ว เขาเองก็ผ่านมันมาได้ ครั้งนี้เขาเองก็จะผ่านไปได้" นักแสดงแม่ลูกอ่อนกล่าว

แอนนี่เผยต่อว่า รู้สึกแย่ที่เห็นฟิล์มร้องไห้ในวันแถลงข่าวครั้งที่ 2 แต่หากทุกคนที่อยู่ในวันนั้นก็น่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และด้วยความที่โตแล้ว จึงรู้ว่าเป็นยังไง เพราะเป็นคนที่ดูคนออก ส่วนที่ฟิล์มติดต่อมาหลายครั้ง แต่ตนไม่รับโทรศัพท์นั้น เพราะไม่มีอะไรที่ต้องมาพูดจาอะไรกัน ผ่านจุดนั้นมาแล้ว ส่วนที่ฟิล์มบอกว่ายอมแอนนี่ทุกอย่างนั้น ไม่อยากให้ศิลปินหนุ่มพูดเช่นนั้น เพราะไม่ได้จะเอาอะไรจากดาราหนุ่ม และไม่เคยจะเอาอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้ต้องการด้วย เพราะฉะนั้นไม่ต้องมายอม ทุกอย่างได้ตัดสินใจไปแล้ว อยากให้ทุกอย่างจบที่การตัดสินใจของตัวเอง และเชื่อว่าจะเลี้ยงลูกได้ดี เหมือนแม่คนอื่นๆ

คลับแอสทีเรีย


พิ้งกี้ ปัดควง “เป๊ก” เที่ยวภูเก็ต วอนอย่าดึงเอี่ยวครอบครัว “ธัญญ่า” อีก เพราะไม่ได้ติดต่อฝ่ายชายแล้ว ปล่อยโฮหลังทราบถูกผู้จัดและดาราช่อง 3 รวมตัวแบน ด้านแม่นางเอกสาวสุดฉุน โวยวายป้องลูกไม่แย่งผัวใคร วอนทุกคนให้มาด่ามาแบนตนแทน เพราะเป็นคนเลี้ยงลูก เผยเบื้องหลังตนพยายามทำให้ “เป๊ก-ธัญญ่า” คืนดีกัน รับรัก “เป๊ก” เหมือนลูก และอีกฝ่ายมาปรึกษาตามง้อ “ธัญญ่า” แนะดาราสาวเป็นเมียเจ้าพ่อ ต้องอดทนกับข่าวเจ้าชู้ของสามี


ยังคงเป็นกระแสข่าวที่มีประเด็นให้ติดตามอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณีรักสามเส้าของครอบครัวดาราสาว “ธัญญ่า ธัญญาเรศ เองตระกูล” กับสามี “เป๊ก สัณชัย” ที่กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง หลังฝ่ายชายยังไม่เลิกติดต่อนางเอกสาวตาคม “พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช” มีตาดีเห็นทั้งคู่ควงกันไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันบ่อยๆ แต่ที่ทำให้ศรีภรรยาอย่าง “ธัญญ่า” ทนไม่ไหว ต้องหอบลูกสาว “น้องลียา” บินหนีไปอยู่อเมริกา คือข่าว “เป๊ก” พยายามพาลูกเข้าไปตีซี้กับ “พิ้งกี้” ทั้งยังซื้อบ้านและรถให้นางเอกสาวใหม่

และถึงแม้ “ธัญญ่า” จะอยู่ไกลถึงอเมริกาแล้ว ก็ยังไม่วายมีข่าวลือออกมาอีกหลายระลอกว่า ดาราสาวเตรียมพึ่งกฎหมายของที่นั่นเพื่อฟ้องหย่าสามี ด้าน “เป๊ก” พอภรรยาไม่อยู่ก็ทำตัวเป็นหนูร่าเริง ล่าสุดมีคนเห็นยังจูง “พิ้งกี้” ไปเที่ยวภูเก็ตด้วยกันอีก เมื่อผู้สื่อข่าวมีโอกาสเจอนางเอกตาคมขณะมาร่วมงานแถลงธุรกิจแฟรนไชนส์ โนแอล บาย พิ้งกี้ ที่บริษัทโนแอล กรุ๊ป ย่านลาดพร้าวช่วงเช้าที่ผ่านมา (24 ก.ย.) จึงได้สอบถามถึงประเด็นดังกล่าว “พิ้งกี้” ทำหน้าเซ็งก่อนบ่นที่เรื่องยังไม่จบ ยันไม่ได้ติดต่อฝ่ายชายเลย

“ยังไม่จบอีกเหรอคะ (หัวเราะ) เฮ้อ...เหนื่อยจังเลย จะให้พูดยังไงดีล่ะ คือตอนนี้ทุกอย่างให้พูดว่ากี้ก็ไม่ได้ติดต่อกับใครแล้ว ทุกอย่างที่ไปทุกวันนี้กี้ก็ไปกับครอบครัวของกี้ คุณแม่กับกี้แทบจะเรียกว่า ถ้าไปไหนแล้วไม่เห็นแม่ก็คงแปลก ทุกครั้งก็ไปก็ไม่เคยเห็นมีใครบอกว่าไปกับครอบครัวเลย ก็บอกว่ากี้ไปโผล่จังหวัดโน้นจังหวัดนี้ ก็ไม่รู้จะไป 4 ภาคเลยหรือเปล่า ไปเหนือ ใต้ ออก ตก ก็ไม่รู้จะพูดยังไง”

“กี้ก็ไม่ทราบที่ทางอินเทอร์เน็ตมีคนไปเจอแล้วเอามาโพสต์ไว้ แต่ทางอินเทอร์เน็ตจะโพสต์อะไรก็ได้ ใครอยากพิมพ์อะไรก็พิมพ์ได้ กี้ไปโพสต์ก็ได้ว่าเห็นใครอยู่ที่ไหน ฉะนั้นกี้ไม่มีแรงจะตอบ เพราะกี้พูดไปมากแล้วและคิดว่าเรื่องนี้มันต้องจบ แล้วกี้ไม่เกี่ยวข้องพัวพันกับครอบครัวใคร อย่าเอากี้ไปเกี่ยวอีกเลย กี้ก็ขอให้พอและกราบทุกคนขอให้หยุด เพราะกี้ก็ไม่ได้คุยไม่ได้เจอไม่ได้ติดต่อพี่เป๊กแล้ว”

เมื่อสอบถามว่าเสียความรู้สึกแค่ไหนที่เรื่องเป็นมือที่ 3 ไม่จบสักที นางเอกสาวตอบด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือ และน้ำตาคลอเบ้าว่า

“อืม....พูดยังไงดี รู้สึกว่ากี้มีครอบครัวนะคะ การตัดสินใจของกี้มีครอบครัวคอยช่วยตัดสินใจ ไม่ต้องห่วงว่ากี้จะไปทำอะไรที่ไม่ดี กี้มีครอบครัว ญาติพี่น้อง มีตระกูล มีคนคอยให้คำปรึกษา เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่ากี้จะไปทำอะไรพละการ หรือทำอะไรไม่ดี ก็อยากให้ทุกคนให้กำลังใจกี้บ้าง (น้ำเสียงเริ่มสั่น)”

“ที่ทางอินเทอร์เน็ตด่ากี้แรงๆ ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี (น้ำตาคลอ) แล้วที่มีข่าวว่าแฟนๆ จะแบนกี้ คือเราไม่สามารถไปห้ามความคิดใครได้ ก็เป็นความคิดอิสระที่อยากจะพิมพ์อะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจกี้ก็ไม่เป็นไร ก็พิมพ์เข้าไปได้ แต่ก็มีประชาชนหลายๆ ท่านทั่วประเทศเข้าใจกี้แค่นั้นก็พอ ก็ยังมีคนรักเราอยู่ ส่วนคนที่ไม่รักกี้ก็ไม่เป็นไรค่ะ”

“ส่วนทางผู้ใหญ่ที่ช่อง 3 ก็ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องข่าว เขาเน้นงานอย่างเดียว เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรคาราคาซัง คืออยากให้พี่ๆ ที่เขียนคิดถึงผลกระทบ กี้ก็มีครอบครัว มีพี่น้อง”

พอเข้าประเด็นที่ว่า มีผู้จัดละครและนักแสดงทางช่อง 3 หลายคน ประกาศไม่อยากร่วมงานกับเธอรู้สึกเช่นไร ทันทีที่ได้ยินคำถาม “พิ้งกี้” ถึงกับน้ำตาไหลพราก รีบหันหลังเช็ดน้ำตาก่อนจะเดินไปหาแม่ที่นั่งรออยู่

ไม่นาน “พิ้งกี้” กับแม่ก็เดินออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอีกครั้ง โดยแม่ของนางเอกสาวมีอาการฉุนเฉียวอย่างเห็นได้ชัด และได้โวยวายพูดระบายความอัดอั้นที่มีอยู่ในใจแบบม้วนเดียวจบ ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือน้ำตาตกในอยู่ตลอดเวลาว่า

“บางคนก็บอกว่าทำไมแม่ไม่ออกมาแถลงข่าวว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แม่ตอบไปเยอะแล้วว่า มันไม่ได้มีอะไรกัน เขาเป็นครอบครัวของเขา แม่ก็อยากให้ทุกคนช่วยกันมาทำยังไงให้ครอบครัวนี้กลับมาคืนดีกันมากกว่า กับเป๊กแม่ก็พูดตรงๆ เป๊กก็รู้ว่าแม่เป็นคนยังไง (น้ำเสียงสั่นเครือ) แม่บอกเป๊กตลอดเวลาว่า ให้คิดกับกี้เหมือนน้อง แล้วเขาก็คิดตรงนั้นได้ว่านี่คือน้องเขา ถ้าพูดกันตามประสาชาวบ้านใครจะให้ลูกไปแย่งผัวชาวบ้านเขา เราพูดให้เขาคิดว่ามีลูกและน้องยังไปได้อีกไกล น้องยังมีความสามารถ แต่การพูดคุยกันมันมีหลายลักษณะ แม่ไม่อยากไปแก้ตัวว่าอย่างโน้นอย่างนี้ แม่ไม่อยากพูดมาก พูดมากก็เอาไปเขียนอย่างโน้นอย่างนี้”

“บางคนก็ด่าเรา ก็ว่าไปเถอะด่าไปเถอะ เล่นเน็ตด่าเราสารพัด จะแบนเราบ้างอะไรบ้าง แม่ถามว่าทำเพื่ออะไร เพื่อให้แม่ไม่มีอาชีพ ให้ลูกไม่มีอาชีพเหรอ ถ้าทำอย่างนั้นแม่ก็ต้องหาคนมาเลี้ยงถูกต้องไหม แล้วครอบครัวเขาเป็นยังไงก็ต้องแตก แม่อดทนมาเยอะ มีคนบอกให้แถลงข่าว เราก็เห็นนักข่าวทุกคนเหมือนลูกเหมือนหลาน เหมือนพี่เหมือนน้อง ใครจะมาฆ่าให้เราตาย มันไม่ได้อะไรกับสังคมขึ้นมาหรอก”

“อะไรมันไม่ได้ทำง่ายๆ ไม่ใช่ว่าเราจะไปแย่งสามีเขามาเพื่อให้แต่งงานกับลูกเรา มือตีนเรายังมีค่ะ ยังทำมาหากินได้ นี่เราคิดจะทำยังไงเพื่อให้ครอบครัวเขากลับมาคืนดี ทำยังไงให้ธัญญ่ากลับมาดีกับพี่เป๊ก ให้เข้าใจว่าอะไรคืออะไร เราทำตลอดเวลาถึงใครไม่รู้ก็ช่าง แต่อย่างน้อยคุณเป๊กก็รู้ว่าแม่เป็นคนยังไง ถามเขาสักคำสิว่าแม่เคยไหม (โวยวาย) บอกให้คุณไปหย่าแล้วมาแต่งกับลูกเรา ไม่เคยมีตรงนั้นเลย คำพูดสักคำก็ไม่เคยมี เขารู้ดีที่สุดว่าแม่เป็นคนยังไง แม่ก็อัดอั้น ทุกคนก็บีบๆๆ ตลอดเวลา เดี๋ยวเห็นเราที่นั่นที่นี่ ถามจริงๆ ถ้าเขาไปด้วยกัน เขาจะไปให้ใครเห็นไหม เขาไม่ให้ใครเห็นหรอก เขาอาจไปทำงานของเขา เราก็ไปของเรา และกี้ไปไหนก็ต้องมีแม่มีพี่น้องไปกันหมด”

วอนทุกคนอย่าด่าลูกให้มาด่าตนแทน ลั่นมีศีลธรรมอยู่ในสมองรู้อะไรควรไม่ควร พร้อมแนะ “ธัญญ่า” เป็นเมียเจ้าพ่อต้องอดทนกับข่าวความเจ้าชู้ของสามี

“เขาเจ็บแม่ก็เจ็บ แม่ขอโทษทุกคนด้วย (ร้องไห้) ขอโทษคนที่ฟังข่าว แม่อาจเลี้ยงลูกไม่ได้ดีทั้งหมด แต่ขอให้เข้าใจเถอะว่าแม่มีศีลธรรม ศีลธรรมอยู่ในสมองแม่ตลอดเวลาว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ครอบครัวเราไม่เคยฟุ่มเฟือย แม่ถามลูกอยากได้อะไรไหม ลูกพูดตลอดเวลาว่าแม่เก็บตังค์ไว้เถอะ แม่มีสมบัติสักชิ้นก็มีคนไปเขียนว่า ทางนี้ซื้อรถให้ซื้อบ้านให้ แม่ทำงานมาปีนี้ปีที่ 16 แล้ว ทรัพย์สินที่แม่ทำไว้ให้ลูก เวลาแม่ตายไปเขาหมดอาชีพนักแสดง แม่สร้างไว้ให้เขา แม่ก็เห็นนักแสดงทุกคนพออายุมาก ถ้าเราไม่หาซื้อทรัพย์สินอะไรเอาไว้ มันจะมีอะไรติดตัวไปไหม ก็เป็นอุทาหรณ์ให้เราเห็น คนไม่รู้ว่าพิ้งกี้มีสมบัติอะไรหรอก แม่ต้องแจง แต่ถ้าไม่มีแม่แล้วเขาจะต้องสบาย”

“แล้วแม่ก็ขอบอกว่าเรื่องส่วนตัวก็เรื่องส่วนตัว ด่าแม่เถอะ...อย่าด่าเขา มาด่าแม่เพราะแม่อยู่กับเขา ทุกคนจะแบนอะไรมาแบนแม่ เพราะแม่เป็นคนเลี้ยงดูเขา บางคนไปบอกช่อง 3 ว่าให้ปัดเราออก คุณจะทำอย่างนี้เพื่ออะไร ทำไมคุณไม่เขียนหรือออกทางเน็ตว่า ธัญญ่าใจเย็นนะ ให้ดีกับพี่เป๊กเถอะ แต่ทุกคนด่าพิ้งกี้ พิ้งกี้ไปโน่นไปนี่เพื่อทำให้เขาแตกกัน มันไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก ทำไมไม่เขียนว่าให้เขาหันกลับมารักครอบครัว ต้องอย่างโน้นอย่างนี้ เป็นกำลังใจให้เขาสิ เขาจะได้เข้าใจว่าสามี-ภรรยามันต้องมีเรื่องแบบนี้ อาจจะวันหนึ่งข่าวพิ้งกี้หมดไป พี่เป๊กอาจจะมีข่าวไปกับสาวอื่น ธัญญ่าก็ต้องอดทนเพราะเป็นเมียเจ้าพ่อ เมียเจ้าพ่อต้องมีลักษณะแบบไหน ต้องอดทนข่าวจะต้องมาอีกเยอะ มันไม่ได้อยู่แค่ลูกเราแค่นี้หรอก”

“แม่ทนตลอดเวลาจนคิดว่าวันหนึ่งจะให้พิ้งกี้อำลาวงการแสดง ไปขายอะไรก็ได้ ทุกคนจะได้ไม่ต้องมาเขียนอะไรในทางเสียหายให้ลูกเรา พ่อพิ้งกี้ก็ไม่พูดอะไรสักคำ พ่อกับแม่นั่งกันอยู่ 2 โต๊ะ พ่อบอกว่าอย่าพูดเลยคุณ ถ้าพูดไปมันจะกระทบกระเทือนตระกูลเขา พ่อพูดกระทั่งว่าอย่าไปทำให้ตระกูลเขาเสีย (โวยวาย) แล้วคุณคิดว่าใครอดทนที่สุด”

บอกทุกคนควรหันมาให้กำลังใจ “เป๊ก-ธัญญ่า” ให้กลับมาเป็นครอบครัวกันอีกครั้ง ทั้งยังเผยฝ่ายชายได้มาปรึกษาตนเรื่องนี้เช่นกัน

“ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าเรามีศีลธรรม และเราก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร บอกว่าไปโน่นนี่ทำอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วมันเกิดขึ้นหรือยัง มันยังไม่ได้เกิด เรามาช่วยกันทำยังไงให้ครอบครัวเขากลับมาอยู่เหมือนเดิม ให้เขาดีเหมือนเดิมดีกว่า นั่นเป็นความสุขของทุกๆ คน รวมทั้งกี้กับแม่จะได้พ้นคำครหา แต่เรื่องครอบครัวมันก็ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ทุกคนต้องให้กำลังใจเขา อย่าไปเขียนให้เขาแตกกันแล้วมาบอกว่าเป็นพิ้งกี้ พิ้งกี้ก็ลูกเรา ต้องให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย มันเป็นชีวิตครอบครัวที่จะต้องแก้ไข เพื่อให้กลับมาสภาพเดิม แต่เรื่องทั้งหมดมันก็ต้องให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่ายด้วย เราก็พยายามถอยออกมา”

“คนอาจจะคิดว่าเป๊กมีนิสัยอย่างโน้นอย่างนี้ แต่จริงๆ เขาเหมือนกับลูกแม่คนหนึ่ง ใครจะคิดยังไงด่าว่ายังไงแม่ไม่ว่า แต่เขาเหมือนลูกแม่ เขาปรึกษาแม่ว่าทำยังไงกับเรื่องธัญญ่า แม่ก็บอกให้เป๊กค่อยๆ ง้อ เราก็ค่อยๆ สอนเขาทุกอย่าง เราไม่คุยเรื่องอื่น ตรงนี้ใครจะเข้าใจไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร แต่เราคุยกันแต่ว่าจะทำยังไงให้ครอบครัวเขากลับมาดีเหมือนเดิม จะให้แม่อธิบายยังไงก็ได้ว่าไม่มีอะไรหรอก”

“ต่อจากนี้อีก 3-4 ปีข้างหน้ากี้ยังต้องทำงานเลี้ยงดูครอบครัว ยังไม่สามารถไปเอาใครมาเป็นสามีได้ ดังนั้นสบายใจได้ ครอบครัวเขาเราก็อย่าไปเขียนอะไรให้เขาเข้าใจกันผิดไปใหญ่ เรื่องบ้านเรื่องรถธัญญ่ามาอ่านก็ต้องเสียใจ แล้วใครจะคืนดีสามีล่ะถ้าไม่จบสักที ก็ขอร้องตรงนี้ว่าให้มันจบๆ ได้แล้ว”

http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9530000134548

เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 22 กันยายน พ.ต.ท.พิสิฐ อุ่นใจ พนักงานสอบสวน(สบ.3)สภ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก รับแจ้งเหตุมีคนถูกฆ่าถูกฝังดินไว้ที่ใต้ต้นมะม่วงหลังบ้านเลขที่ 4 หมู่ 12 ต.พรหมพิราม หลังรับแจ้งรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.ท.เชาวลิตร วงศ์พิทักษ์ รองผกก.สส. พ.ต.ท.จิตพงษ์ วิชญาปกรณ์ สวป. แพทย์เวรประจำโรงพยาบาลพรหมพิราม เจ้าหน้าที่กู้ภัยข่าวภาพ ที่เกิดเหตุมีชาวบ้านอีกประมาณ 50 คนช่วยกัน ขุดดินใต้ต้นมะม่วงกว้าง 1 เมตร ลึก ลงไป 1.5 เมตร จนพบโครงกระดูกของมนุษย์ สภาพนอนหงายกะโหลกศีรษะด้านหน้าแตกคล้ายถูกทุบด้วยของแข็ง เนื้อตัวเปื่อยยุ่ยจนเหลือแต่โครงกระดูก คาดว่าได้ชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน สันนิษฐานในเบื้องต้นศพดังกล่าวน่าจะเป็น นางราตรี ทองดี อาย 21 ปี อยู่บ้านดังกล่าว ที่ทางญาติได้แจ้งความหายไว้เมื่อ 4 เดือนที่ผ่านมา ต่อมาได้ประสานของเจ้าหน้าที่ตำรวจวิทยาการเขต 33 พิษณุโลก เพื่อเก็บหลักฐานเพิ่มเติม

จากการสอบถามนางสมจิตร จิตรประจักษ์ อายุ 55 ปี แม่ของผู้เสียชีวิตทราบว่า นางราตรี บุตรสาวของตนเองได้แต่งงานกับนายเสนี ทองดี อายุ 27 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านพักหลังดังกล่าวจนมีบุตรด้วยกัน 1 คน ช่วงแรกตนเองมาเยี่ยมเยียนบุตรสาวที่บ้านหลังดังกล่าวอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั้งก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 เดือน ตนเอง ได้แวะมาหาบุตรสาว แต่ทราบจากนายเสนี ลูกเขยว่า บุตรสาวได้หนีออกจากบ้านไปนานสองเดือนแล้ว ในตอนแรกตนเองก็ไม่ได้เอะใจ คิดว่าบุตรสาวได้ทะเลาะกับสามีและหนีออกจากบ้านไปไม่นานก็กลับมา หลังจากนั้นนายเสนี ได้ไปแจ้งความคนหายไว้ที่ สภ.พรหมพิราม จนเวลาผ่านไปนานถึง 4 เดือน

"ลูกสาวมาเข้าฝันว่าถูก ฆ่าตายและนำศพมาฝั่งไว้ที่ใต้ต้นมะม่วงหลังบ้านพักของนายเสนี ดิฉันกับญาติจึงได้มาขุดบริเวณดังกล่าวแต่ก็ไม่พบ และกลับไปที่บ้านที่พิจิตรและปรึกษากับญาติพี่น้องช่วยกันตามหาบุตราสาว จนเมื่อคืนที่ผ่านมาบุตรสาวได้มาเข้าฝันอีกว่าตนเองถูกฝังอยู่ที่เดิมที่แม่เคยไปขุดครั้งก่อนแต่ให้ขุดลึกลงไปกว่าเดิม ในเช้าวันนี้จึงย้อนกลับมาขุดลึกลงไปจนพบโครงกระดูกมนุษย์ดังกล่าว คาดว่าจะเป็นศพของนางราตรี บุตรสาวที่หายไปเมื่อ 4 เดือนตอน ต้องรอผลพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์อีกเพื่อยืนยันว่าเป็นใคร" นางสมจิตร

ทางด้านนายสมชาย ทองดี อายุ 52 ปี เจ้าของบ้าน กล่าว่า ตนเองไม่ทราบว่า นางราตรี ซึ่งมีศักดิ์ เป็นลูกสะใภ้หายไปไหน สอบถามนายเสนี บุตรชายของตนเองก่อนที่จะติดคุกทราบเพียงว่าทะเลาะกันและภรรยาได้หนีไปทิ้งลูกไว้ให้ตนเองตามลำพัง เรื่องการขุดพบโครงกระดูกดังกล่าวตนเองไม่ทราบมาก่อนเลยว่ามีใครนำมาฝังดินเอาไว้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้เรียกตัวผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบสวนเพิ่มเติมหาคนร้ายรายนี้และผู้ร่วมกระทำความผิดรายอื่นๆมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว


ความต่อเนื่องเรื่องข่าวฉาวของฟิล์ม รัฐภูมิ ทั้งความห่วงใยของพจน์ อานนท์ และการที่เฮียฮ้อ สั่งพักงานฟิล์ม รัฐภูมิ อย่างไม่มีกำหนดด้วย

หลังจาก "เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์" บอสใหญ่ค่ายอาร์เอส สั่งลงดาบซูเปอร์สตาร์ลูกรัก "ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์" สถานหนัก ถึงขั้นประกาศงดการทำงานทั้งหมด หลังได้ฟังข้อมูลการให้สัมภาษณ์ทั้งจากของฟิล์มและแอนนี่ บรู๊ค พร้อมกับประกาศให้ฟิล์มไปเคลียร์ปัญหาชีวิตด้วยตัวเอง แต่จะไม่มีการยกเลิกสัญญาที่ฟิล์มเซ็นไว้กับอาร์เอส

ทั้งนี้ เพลงและมิวสิกวิดีโอตัวใหม่ ที่ร่วมร้องกับนักร้องสาวชาวเกาหลีของฟิล์มที่เพิ่งผลิตเสร็จก็ถูกติดเบรกงดเผยแพร่ เช่นเดียวกับการเป็นตัวแทนประเทศไทยไปร้องเพลงในงานเอเชียนซองเฟสติวัล ที่เกาหลีใต้ ก็ต้องยกเลิกไปด้วยเพราะเรื่องฉาวในครั้งนี้ ในขณะที่กองถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องบางกอกกังฟู ที่ฟิล์มแสดงนำ ต้องหยุดชะงักแต่โชคดีที่ยังไม่เริ่มการถ่ายทำ

ขณะที่ พจน์ อานนท์ ผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้ที่ชักชวนฟิล์ม รัฐภูมิ เซ็นสัญญากับอาร์เอส ยอมรับว่าเป็นห่วงฟิล์ม ล่าสุดก็เพิ่งได้โทรศัพท์พูดคุยให้กำลังใจ โดยพจน์ อานนท์ มองว่าข่าวฉาวครั้งนี้ฟิล์มไม่ใช่ฝ่ายผิด ฝ่ายเดียว และกลัวว่าฟิล์มจะคิดสั้นหลังโดนมรสุมชีวิตรุมเร้า

โดยล่าสุด พจน์อานนท์ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 เมื่อเวบลาประมาณ 7.45 น. ของวันนี้ พิธีกรรายการถามว่าได้พูดคุยกับฟิล์มหรือไม่

พจน์ กล่าวว่า คนเสียใจก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น สั่นเครือ ตอนนี้เป็นห่วงฟิล์มเพราะถ้าโดนตัดงานพ่อแม่เขาลำบากเพราะบ้านเขาก็ไม่ใช่บ้านคนรวย ได้คุยกับฟิล์มหลังจากที่ออกมาแถลงข่าวและหลังแอนนี่ออกมาพูด ครั้งแรกที่คุยก็บอกว่าฟิล์มว่าทำถูกแล้วที่เป็นลูกผู้ชายที่ออกมายอมรับตรวจดีเอ็นเอ หลังจากที่แอนนี่ออกมาพูดได้คุยกับฟิล์มแล้วไม่ตรงกับแอนนี่เลย แต่ตอนนี้สังคมไปตราหน้าฟิล์มผิดคนเดียวแต่ความจริงมันเป็นเรื่องของคนสองคน

พิธีกรถามว่าฟิล์มบอกอะไรหลังฟังแอนนี่พูด

พจน์ - "ผมถามฟิล์มว่าเมื่อตอนสี่เดือนทำไมไม่ไปตรวจดีเอ็นเอ ฟิล์มบอกว่า "ผมก็จะไปตรวจแต่ฝ่ายหญิงบอกว่าไม่ไว้ใจเขาหรอที่จะพาไปตรวจดีเอ็นเอ อันนี้ตรงกันข้ามเลย ซึ่งทั้งคู่บอกว่าขอไปตรวจ ซึ่งฟิล์มเป็นวัยรุ่นอายุ 25 ปี เขาต้องมาเป็นพ่อแล้วก็ต้องไปขอตรวจดีเอ็นเอ"

พิธีกรถามว่าได้ถามเรื่องการป้องกันหรือไม่

พจน์- "ถามทำไมไม่ใส่ถุงยาง ฟิล์มบอกว่า ฝ่ายหญิงบอกว่า "ทำหมันใส่ห่วงแล้ว" ซึ่งผมเชื่อว่าเด็กฟิล์มไม่โกหกผมอยู่แล้ว เรามีอะไรก็พูดกันตรงๆ ตลอด ฟิล์มบอกว่าเงินก็ให้ครั้งแรกให้ไป 1.5 แสนบาท ครั้งที่สอง 5 หมื่นบาทและ 4.5 หมื่นบาท ซึ่งฟิล์มมีหลักฐานการโอนเงิน และที่บอกว่าไม่มีใครพาไปโรงพยาบาล ไม่ใช่เรื่องจริง คนชื่อ "โน้ต" ผู้จัดการฟิล์มพาไปฝากท้องและไปคลอด และที่บอกว่าแม่แอนนี่ไม่รู้เรื่อง จริงๆแม่แอนนี่เฝ้าตลอด วันคลอดฟิล์มก็จะไปกับแม่และซื้อทองไปรับขวัญ แต่แอนนี่บอกว่าไม่ต้องมาเดี๋ยวความแตกฟิล์มก็ไม่ไป ซึ่งดูฟิล์มก็รับผิดชอบแต่ฟิล์มแค่ไม่มั่นใจ แล้วการที่ผู้ชายทำผู้หญิงท้องสังคมก็ตราหน้าว่าผู้ชายผิด แต่ผู้หญิงอุ้มลูกออกมา สังคมเป็นธรรมกับผู้ชายทั้งประเทศหรือเปล่า"

พจน์ กล่าวถึงกรณีที่แอนนี่บอกว่าฟิล์มหายไปหลังจากชวนตรวจดีเอ็นเอว่า ฟิล์มยังโทรไปและโทรศัพท์ที่แอนนี่ใช้ฟิล์มเป็นคนจ่ายค่าโทรศัพท์ให้แอนนี่ทั้งหมด แล้วถามว่าไม่ได้ติดต่อไปเลย ฟิล์มบอกว่าบางทีว่างก็ไป แม่-โน้ตก็ไป ไม่ได้หายไป ในวันที่รู้ว่าจะคลอดวันแรกยังซื้อทองไว้เตรียมไปรับขวัญแต่ทางนั้นบอกไม่ต้องมา "เดี๋ยวความลับแตก"

"ผมถึงออกมาพูดว่าต้องให้ความถูกต้องทางฟิล์มด้วย แต่ตอนนี้ฟิล์มโดนสังคมลงโทษไปแล้ว ฟิล์มคงไม่ออกมาพูดแล้ว เพราะสังคมคงเชื่อเต็มร้อยแล้ว และที่ออกมาพูดเพราะผมเป็นผู้ปกครองคนหนึ่ง ตอนนี้สงสารพ่อแม่เขา เพราะฟิล์มเป็นหัวหน้าหลักครอบครัว พี่ไม่ได้รังเกียจแอนนี่ความจริงเท่านั้นที่จะอยู่ได้ ส่วฟิล์มไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ เด็กคนหนึ่งคงนั่งคิดไปเรื่อย เขาฝันอยากโกอินเตอร์แต่ตอนนี้ความฝันเขาหายไปแล้วคงเครียด "

ไข้หวัด2009

รมว.สธ. เผยการระบาดไข้หวัด 2009 ใน กทม. มีแนวโน้มสูงขึ้น เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 ราย ประสาน กทม. เฝ้าระวังแล้ว

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน มีผู้ป่วยยืนยันโรคไข้หวัดใหญ่สะสม 51,594 ราย ในจำนวนนี้ เป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จำนวน 11,154 ราย โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 338 ราย และเสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย รวมปัจจุบันมีผู้ป่วยเสียชีวิตสะสม 66 ราย

จังหวัดที่มีผู้ป่วยสูงสุด ได้แก่ กทม. คิดเป็น 19.8 ต่อแสนประชากร ทั้งนี้ ได้มอบให้อธิบดีกรมควบคุมโรค เร่งประสานกับทาง กทม. อย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดแล้ว

ด้านแพทย์หญิงมาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผย หลังประชุมหารือมาตรการป้องกันโรคไข้หวัด 2009 ระลอก 3 ร่วมกับสำนักอนามัย โรงพยาบาลในสังกัด กทม. และสำนักงานเขตทั้ง 50 เขต ว่า สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ใน กทม. ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ส.ค. พบผู้ป่วยประมาณ 1,300 คน ซึ่งน้อยมาก หากเทียบกับการระบาดรอบแรก ในจำนวนดังกล่าวเสียชีวิต 10 ราย ซึ่ง 9 ราย มีโรคประจำตัวแทรกซ้อน

แต่แม้การตรวจ 2 เดือนที่ผ่านมา จำนวนผู้ที่ได้รับเชื้อจะลดลงมาก ประกอบกับองค์การอนามัยโลก ประกาศให้โรคหวัด 2009 กับโรคหวัดธรรมดาตามฤดูกาล เป็นโรคชนิดเดียวกัน ทำให้ประชาชนละเลยวิธีป้องกัน ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว จึงยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคนี้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ แพทย์หญิงมาลินี กล่าวอีกว่า กทม. เตรียมนำแผนและมาตรการรณรงค์ ที่เคยใช้ในช่วงที่โรคไข้หวัด 2009 ระบาดช่วงแรกมาใช้อีกครั้ง ตามแผน 555

โดย 5 แรก คือ 5 มาตรการเข้มข้นประกอบด้วย มาตรการแจ้งเตือนสถานการณ์การระบาดของโรค, มาตรการเฝ้าระวังการระบาดและป้องกันควบคุมโรค,มาตรการป้องกันการแพร่เชื้อ, มาตรการดูแลกลุ่มเสี่ยง, และมาตรการบูรณาการบริหารจัดการ

5 ที่สอง คือ 5 พื้นที่เสี่ยงสูง ด้วยการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ ชุมชน, สถานศึกษา และโรงเรียน, สถานประกอบการ, แหล่งชุมชน อาทิ วัด สถานีรถไฟฟ้า และพื้นที่จัดกิจกรรมรวมคนหมู่มาก

5 ที่สาม คือ เฝ้าระวังช่วง 5 เดือนอันตราย ตั้งแต่ ต.ค. 53 - ก.พ. 54 ที่เป็นช่วงฤดูฝนต่อด้วยฤดูหนาว จะมีการระบาดของโรคไข้หวัดเป็นประจำ รวมถึงเป็นช่วงที่มีเทศกาลต่าง ๆ มากมาย ทั้งปีใหม่, ลอยกระทง จะมีการรวมกลุ่มทำกิจกรรม ส่งผลให้เกิดโอกาสที่จะเกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ง่าย

สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม


ประกาศผลไปอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว สำหรับปฎิบัติการล่าฝัน ทรูอคาเดมี แฟนเทเซีย ซีซั่น 7 งานนี้หนุ่มหน้ามนคนภูธร ปอ V 12 อรรณพ ทองบริสุทธิ์ สามารถคว้าตำแหน่งสุดยอดนักล่าฝันไปครอบครอง พร้อมทำลายสถิติของการเป็นเดอะวินเนอร์ที่มีอายุน้อยสุดเท่าที่เคยมีมา

บรรยากาศในอิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ดูคับแคบไปถนัดตา เมื่อเหล่าบรรดาแฟนคลับต่างตบเท้าเข้ามาเชียร์นักล่าฝันกันอย่างล้นหลาม และแล้ววินาทีที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เมื่อหนุ่มหน้า ปอ V 12 เปิดตัวด้วยละครสั้น ฝีมือ ครูย้ง ทรงยศ สุขมากนันต์ ที่ถ่ายทอดความเป็นปอออกมาแบบเนี๊ยบสุดๆ ด้วยเรื่องราวการตามล่าหาความฝันจนมาถึงเส้นชัยในวันนี้ ซึ่งโยงเข้ากับบทเพลงจังหวะสนุกสนาน บังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิต และ เพลง ที่สูง ซึ่งปอทำโชว์ออกมาได้ดีไม่มีที่ติ เล่นเอาแฟนคลับทนไม่ไหวลุกขึ้นมาโยกย้ายกันสุดเหวี่ยงแบบทิ้งทวนกันซะหน่อย

ด้าน หนุ่มตี๋ต้น V13 ที่คว้าตำแหน่งรองแชมป์ไปครอง วันนี้หนุ่มต้นนำเอาบทเพลง กล้าพอไหม ของ Potato และ เพลง It’s my Life ของ Bon Jovi มาเรียกคะแนนโหวตจากแฟนๆ งานนี้หนุ่มต้นทำได้มันสืสุดเหวี่ยง จน ครูเป็ด วาเนสซ่า หนึ่งในคอมเมนท์ฯ ยกให้เป็นโชว์สุดเจ๋งของค่ำคืนนี้ จากนั้นต่อกันด้วยโชว์มันๆจาก เจ้าของรางวัลที่ 3 หนุ่มบอส V 10 ที่ออกมาโชว์สเต็ปแดนซ์เท้าไฟ ในเพลง โกหก และเพลง ฟ้า ของ Tatoo Colour ทำเอาคนทั้งฮอลล์ ลุกขึ้นมาร่วมแจมไปกับหนุ่มบอสด้วย จน เดอะปั๋ง ประกาศิต ฟันธงกลางเวทีว่าต้องเป็นตัวเต็งขึ้นแท่นหนึ่งในสามชัวร์

ก่อนที่จะมาถึงช่วงเวลาส่งท้ายไปกับ 12 นักล่าฝัน ที่กลับมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง เพื่อร่วมถ่ายทอดบทเพลงสุดซึ้ง ความสุขความทรงจำไม่มีที่สิ้นสุด ของ ธงไชย แมคอินไตย เป็นของขวัญสำหรับแฟนๆ ที่คอยเป็นกำลังใจให้พวกเขามาตลอดทั้งซีซั่นด้านหนุ่มปอ แชมป์คนล่าสุดประจำซีซั่น 7 พูดถึงความรู้สึกในการคว้าแชมป์ว่า ....รู้สึกภูมิใจมากๆ ครับ และที่สุดเลยก็ต้องขอขอบคุณแฟนๆ ทุกคนมากด้วยที่ทำให้ผมมีวันนี้ เพราะจากวันแรกผมก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เข้าบ้านเอเอฟด้วยซ้ำ เกินคาดมากๆ ครับและฝันที่ผมคิดมาก็สำเร็จแล้ว หายเหนื่อยไปเลยต่อไปก็จะได้มีแรงในการทำงาน ผมฝันอยากเป็นนักร้อง เพราะฉะนั้นก็ต้องขยันมากๆ เพราะว่าทุกคนเขาให้โอกาสเราแล้วครับ
รางวัลที่หนุ่มปอ V12 (อรรณพ ทองบริสุทธิ์) สุดยอดนักล่าฝันได้รับ คือ วิซดอม คอนโดมิเนียม พร้อมตกแต่ง 6,000,000 บาท และเงินสดจากทรูวิชั่นส์ จำนวน 350,000 บาท มูลค่ารวมทั้งสิ้น 6,350,000 บาท , อันดับที่2 ต้น V13 (ณัฐวัตร ดีวงกิจ) รับรถยนต์โตโยต้า แคมรี่ (Camry) รุ่น สองจุดศูนย์อี (2.0 E) พร้อมเงินสดจากทรูวิชั่นส์ 200,000 บาท รวมมูลค่า 1,414,000 บาท , อันดับที่3 บอส V10 (ธนบัตร งามกมลชัย) รับ รถยนต์โตโยต้าอัลติส (Altis) หนึ่งจุดหกจี ออโต้ (1.6 G Auto) พร้อมเงินรางวัลจากทรูวิชั่นส์ 150,000 รวมมูลค่า 984,000 บาท

อันดับที่4 นิว V4 (คนธนันท์ วัฒนชาติวงศ์) รับบราเวีย แอลซีดีทีวี Full HD ขนาด 60 นิ้ว EX700 ซีรี่ส์(KDL-60EX700) พร้อมชุดดีวีดีโฮมเธียเตอร์(DAV-F500) VAIO S ซีรี่ส์ ขนาด 13.3 นิ้ว(VPCS137GH),กล้อง Digital SLR ความละเอียด 10.2 ล้านพิกเซล(DSLR-A390Y) ,กล้องวิดีโอฮาร์ดดิสก์แฮนดีแคม พร้อมหน่วยความจำขนาดใหญ่ 120 GB(HDR-CX150) พร้อมเงินสดจากทรูวิชั่นส์ รวมมูลค่า 350,000 บาท , อันดับที่ 5 คือ น้ำแข็ง V6 (ชญาน์ทัต อยู่เป็นแก้ว) รับบราเวีย แอลซีดีทีวี Full HD ขนาด 55 นิ้ว EX710 ซีรี่ส์(KDL-55EX710)พร้อมชุดดีวีดีโฮมเธียเตอร์(DAV-DZ610) ,Cyber-shot W310 (DSC-W310) ,VAIO E ซีรี่ส์ ขนาด 14 นิ้ว(VPCEB35FH)พร้อมเงินสดจากทรูวิชั่นส์ รวมมูลค่า 210,000 บาท , อันดับที่ 6 เกรป V2 (สุดารัตน์ เผ่าปฏิมากร) คือ รับ บราเวีย แอลซีดีทีวี EX500 ซีรี่ส์ ขนาด 32 นิ้ว(KLV-32EX500) Cyber-shot W310 (DSC-W310) ,VAIO W ซีรี่ส์ ขนาด 10.1 นิ้ว(VPCM126AH) พร้อมเงินสดจากทรูวิชั่นส์ รวมมูลค่า 120,000 บาท

ที่มาจาก www.sanook.com

เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 19 ก.ย. นางสาวกัญญ์วรา ตั้งมั่นคงวรกูล อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 301 ซ.สองพี่น้อง ถ.สุขุมวิท ต.เชิงเนิน อ.เมือง จ.ระยอง หรือ เบนช์ นางเอกภาพยนตร์เรื่อง "เดอะกิ๊ก3" ได้เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.ประเสริฐ เหมือนแก้ว สารวัตรสอบสวน สภ.คลองหลวง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ว่า ได้เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต ชั้นปีที่ 2 คณะนิเทศศาสตร์และการแสดง ขณะที่กำลังพักผ่อนในหอพักข้างมหาวิทยาลัย่ในห้องเพียงคนเดียว ได้มีเพื่อนหญิงของเพื่อนซึ่งเรียนอยู่ที่เดียวกัน แต่ไม่สนิทกันเข้ามาเคาะประตูเรียกแล้วได้เข้ามาในห้อง จากนั้นได้เข้ามาใช้มือดึงผมอย่างแรง และลากจับตนไปข้างฝาผนังเอาหน้าตนกระแทกใส่ข้างฝาผนังห้อง จึงได้ร้องเรียกคนช่วย จากนั้นก็มี รปภ.และเพื่อนที่พักข้างห้องต่างพากันออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นางสาวกัญญ์วรา กล่าวว่า ได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าบวม ข้อศอก มีเลือดไหลออกมา และได้ไปตรวจร่างกายที่ รพ.วิภาวดี ซึ่งแพทย์ได้ตรวจร่างกายพร้อมออกใบรับรองแพทย์นำมาแสดงเป็นหลักฐานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่เคยมีเรื่องกับใครเลยและผู้ที่เข้ามาทำร้ายตนนั้นก็เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที
ด้านพ.ต.ท.ประเสริฐ เหมือนแก้ว สารวัตรสอบสวน สภ.คลองหลวง ได้ลงประจำวันไว้ให้และได้สอบสวนถึงผู้ลงมือทำร้าย ซึ่งผู้เสียหายให้การว่าชื่อนางสาวนวิญา ธนธรณัธนา แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนำเข้าเครื่องตรวจสอบประวัติแล้วพบว่ายังไม่ใช่ชื่อจริง จึงให้ไปตรวจสอบชื่อจริงมาให้ใหม่แล้วจะเรียกมาสอบสวนต่อไป

ป้าซู ซาน บอยล์ นักร้องชาวสก็อตต์ ที่โด่งดังจากรายการ “บริเทน กอท ทาเลนท์” ถูกหนังสือกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด หนังสือรวมรวมสถิติชื่อดังของโลก ด้วย 3 สถิติด้วยกัน คือ

-นักร้องหญิงที่ทำสถิติขายอัลบั้ม “ไอ ดรีมด์ อะ ดรีม” (I Dreamd A Dream) เป็นอัลบั้มที่ขายเร็วที่สุดในสหราชอาณาจักร
-เป็นอัลบั้มเปิดตัวที่ทำยอดขายในสัปดาห์แรกประสบความสำเร็จมากที่สุด ในสหราชอาณาจักร ซึ่งทำยอดขายได้ถึง 411,820 แผ่น
-นักร้องที่อายุมากที่สุดในการ เปิดตัวอัลบั้มของตัวเองด้วย ซึ่งเธอมีอายุครบ 48 ปีในวันที่อัลบั้มของเธอออกสู่ตลาด

คุณป้าบอยล์ กล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า เธออ่านหนังสือ กินเนสส์ บุค มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่นึกเลยว่าชื่อของเธอจะบันทึกอยู่ในนั้นด้วย และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง

เรียบเรียงข่าวโดย Mthai news


"พจน์ อานนท์" ผู้ชักนำ ฟิล์ม เข้าสู่วงการบันเทิง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณ๊ "ฟิล์ม" กับ "แอนนี่" ว่า วงการนี้หลายๆคนก็เป็นแบบนี้ และก็เคยเกิดเรื่องอย่างนี้มาแล้ว ส่วนตัวคิดว่าฟิล์มทำถูกต้องแล้วที่ออกมารับผิดชอบส่วนหนึ่ง และคิดว่าฟิล์มคงไม่แต่งงานกับแอนนี่ ซึ่งจะว่าไปแล้วฟิล์มก็ไม่ผิด

ในสังคมเกิดเรื่องแบบนี้เยอะ จริงๆแล้วฟิล์มแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง เพียงแต่เขามีชื่อเสียงเลยเป็นเรื่องใหญ่โต และตั้งแต่ฟิล์มเข้ามาในวงการนี้ เขาก็เป็นคนเจ้าชู้มาตลอด

"พจน์ อานนท์" กล่าวต่อว่า เวลานี้ฟิล์มต้องมารับกรรมถูกสังคมตราหน้าว่า เป็นคนผิด ทั้งๆที่เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างคน 2 คน ที่น่าจะตกลงกันได้ แต่เท่าที่ตนเช็กประวัติฝ่ายหญิงมา ทำไมต้องเป็นเจาะจงฟิล์ม ตนคิดว่าน่ะจะพิสูจน์ DNA ให้ชัดไปเลย ถ้าใช่จะได้รับผิดชอบให้

ชัดเจนไปเลย เชื่อว่าสังคมจะให้อภัยกับความไม่ได้ตั้งใจของฟิล์มและยังบอกอีกด้วยว่าแอนนี่เคยถ่ายหนังสือโป๊ !!!

แอนนี่ ปลื้มออกทานข้าวนอกบ้านในรอบปี คนแห่ให้กำลังใจ เผยรู้สึกโล่งหลังได้เปิดใจ ด้านแม่ดาราสาวบอกหลานหน้าเหมือน ฟิล์ม

เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 18 ก.ย.53 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "แอนนี่ บรู๊ค" พร้อมลูกชาย ด.ช.ฑีฆายุ วัย 3 เดือน พร้อมเพื่อน ๆ ได้ออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นจำนวนมาก ที่เข้ามาขอถ่ายรูปและให้กำลังใจ จนดาราสาวน้ำตาคลอด้วยความปลื้มใจ พร้อมเผยว่า เป็นครั้งแรกในรอบปี หลังจากตั้งครรภ์และต้องหลบอยู่แต่ในบ้านเป็นส่วนใหญ่

แอนนี่ บรู๊ค กล่าวด้วยว่า หลังจากที่ได้ออกรายการเปิดใจ ก็รู้สึกโล่ง และสบายใจมากขึ้น แต่ยอมรับว่ารู้สึกเหมือนทำให้อีกฝ่ายเสียหาย แต่อยากจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากสถานการณ์บีบให้ต้องพูด ด้าน ฟิล์ม ไม่ได้ติดต่อมาเลย ซึ่งตนก็จะไม่ขอพูดอะไรแล้ว ลูกก็จะเลี้ยงเองกับญาติ ๆ ส่วนเรื่องงาน ตนยังมีรายการ "ชิงช้าสวรรค์" และซิทคอม "มนต์รักมหานคร" ของเวิร์คพอยท์ โดยก่อนหน้านี้ที่หายไปก็บอกทางรายการว่า ต้องไปทำธุระ แต่ว่าตอนนี้เข้าไปคุยกับผู้ใหญ่แล้ว ท่านเห็นใจและให้โอกาสกลับมาเล่นอีก

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเกิดของนักแสดงสาว แอนนี่ บรู๊ค ในท้องที่ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง และได้พบกับ นางจันทร์คำ มีเลข อายุ 54 ปี ซึ่งเป็นแม่ของนักแสดงสาว แอนนี่ บรู๊คโดยแม่ของนักแสดงสาว ได้เผยว่า ตนใช้ชีวิตอยู่กับบุตรสาวของตน เพียง 2 คน ลำพังแม่และลูก หลังพ่อของน้องแอนเดินทางกลับต่างประเทศ ตั้งแต่ น้องแอน อายุได้เพียง 3 เดือน พอบุตรสาวอายุได้ 12 ปี ก็ช่วยทำงานหาเงินแถวหมู่บ้าน และในตัวอำเภอ มีรายได้วันละ 50 บาท มาเลี้ยงตน

จากนั้นพอบุตรสาวเรียนจบ ก็ได้เดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อไปทำงาน และส่งเงินมาให้ตนเดือนละ 500 บาท โดยในช่วงนี้ ตนยังป่วยเป็นต่อมไทรอยส์เป็นพิษที่บริเวณลำคอ และเป็นโรคเครียดอีกด้วย ส่วน น้องแอน ก็เคยเดินทางกลับมาบ้านเป็นครั้งคราว เพื่อนำตนไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน ในตัวเมืองลำปาง และหมดค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลเกือบครั้งละ 1 หมื่นบาท โดยบุตรสาวตนออกค่าใช้จ่ายให้

ส่วนตนเองเพิ่งทราบข่าวว่า น้องแอน ตั้งท้องในช่วงอายุครรภ์ได้ 5 เดือน แต่เขาไม่เคยบอกตนว่าใครเป็นพ่อเด็ก ส่วนเรื่องการตรวจดีเอ็นเอ ปล่อยให้เป็นเรื่องของบุตรสาว เพราะบุตรสาวตนเป็นผู้ใหญ่แล้ว คงตัดสินใจเองได้ ในส่วนของ ฟิลม์ รัฐภูมิ ตนก็เพิ่งรู้จัก และเห็นข่าวจากในโทรทัศน์วันที่ออกมาแถลงข่าวว่ารู้จักกัน และคบหากับบุตรสาวของตน

พร้อนกันนี้ แม่ของ แอนนี่ บรู๊ค ยังกล่าวด้วยว่า หลานชายของตนที่เกิดมาจากน้องแอนนั้น มีใบหน้าคล้ายกับ ฟิลม์ รัฐภูมิ เป็นอย่างมาก

ที่มา ไอ เอ็น เอ็น



ขอขอบคุณภาพประกอบจาก GMM, อาร์เอส

อดีตนักร้องแกรมมี่ ฝ้าย อริญรดา แฟนตัวจริงช็อก เผยคบฟิล์ม 8 ปี ไม่รู้ทำ แอนนี่ บรู๊ค ท้อง ด้าน เฮียฮ้อ โพสต์ทวิตเตอร์ สรุปอนาคตนักร้องหนุ่ม จันทร์นี้

เมื่อ 17 ก.ย.53 มีรายงานข่าวว่า อดีตนักร้องสาวสังกัดแกรมมี่ ฝ้าย-อริญรดา ปิติมารัชต์ หรือชื่อเดิม บุศรินทร์ มโหทาน ที่เคยมีข่าวเป็นแฟนของหนุ่มฟิล์ม ได้ออกมาเปิดเผยว่า รู้สึกช็อกและเสียใจกับกรณีที่ นักร้องหนุ่มตกเป็นข่าวมีลูกกับดาราสาว แอนนี่ บรู๊ค เพราะตนคบหากับฟิล์มมานาน 8 ปีแล้ว แต่ไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อนเลย ฝ่ายชายทำตัวปกติ และทำดีกับตนเหมือนเดิมตลอดมา แม้ตอนเล่นละคร ปีศาจแสนกล ก็ไม่มีอะไรผิดปกติเลย
ฝ้าย บุศรินทร์ กล่าวต่อว่า ตนทราบข่าวพร้อม ๆ กับสื่อ และฟิล์มได้โทรศัพท์มาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังทั้งหมดแล้ว ซึ่งตนพร้อมจะให้อภัย และจะยืนอยู่เคียงข้างฟิล์ม รอให้เรื่องมันผ่านพ้นไปแล้วค่อยว่ากัน

ขณะเดียวกัน นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ หรือเฮียฮ้อ บิ๊กบอสค่ายอาร์เอส ต้นสังกัดของนักร้องหนุ่ม ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ได้โพสต์ข้อความลงในทวิตเตอร์ถึงกรณีเรื่องราวดังกล่าว ว่า...."ได้ดูแอนนี่ให้สัมภาษณ์กับสรยุทธ์ ก็พอจะเข้าใจและวิเคราะห์เรื่องนี้ได้ กำลังรวบรวบข้อมูลและลำดับเหตุการณ์ คิดว่าวันจันทร์นี้ (20 ก.ย.) จะสรุปเรื่องราวทั้งหมด รวมถึงอนาคตและแผนงานต่าง ๆ ของฟิล์ม"

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ข่าวสด


นักร้องสาวชื่อดัง "เลดี้ กาก้า" สนใจร่วมแสดงในซีรีย์ยอดนิยม " ซีเอสไอ ไมอามี"
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 16 ก.ย. ว่า สเตฟานี โจแอนน์ เจอร์มาน็อตตา หรือ เลดี้ กาก้า นักร้องสาวชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียน วัย 24 ปี ตกเป็นข่าวว่ากำลังสนใจที่จะเข้าไปรับบทบาทใดบทบาทหนึ่งในภาพยนตร์ซีรีย์สแนวสืบสวนสอบสวนสุดฮิตเรื่อง "ซีเอสไอ ไมอามี" (Crime Scene Investigation: Miami)

รายงานข่าวระบุว่า ในขณะนี้ เลดี้ กาก้า เจ้าของเพลงฮิตอย่าง "Just Dance" , "Poker Face" และ "Bad Romance" กำลังเจรจากับทีมผู้สร้างซีรีย์สเรื่องดังกล่าวเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เธอจะเข้าไปรับ "บทบาทพิเศษ" ในซีเอสไอซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในซีรีย์สเรื่องที่เธอโปรดปราน อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการออกมาเปิดเผยรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับการเจรจาต่อสาธารณชนแต่อย่างใด

ด้านเอวา มาเรีย ลารวย หนึ่งในนักแสดงจากซีเอสไอ ไมอามี เจ้าของบทบาทนักสืบหญิง "นาตาเลีย บัว วิสตา " แห่งกรมตำรวจไมอามี-เดด ออกมาเปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครทราบว่าจะมีโอกาสได้ร่วมแสดงกับเลดี้ กาก้า หรือไม่ แต่โดยส่วนตัวแล้วเธอคิดว่า นักร้องสาวรายนี้อาจได้รับบทบาทบางอย่างที่แตกต่างไปจากชีวิตจริงโดยสิ้นเชิง

ทั้งนี้ ซีรีย์สเรื่องซีเอสไอ ไมอามี เริ่มออกอากาศทางเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสของสหรัฐฯ ครั้งแรกตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2002 และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจนต้องสร้างติดต่อกันมาเป็นซีซั่นที่ 9 แล้ว.
ที่มา ไทยรัฐ



เปิดใจ แอนนี่ บรู๊ค แบบเจาะลึก ผ่านรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ทางช่ิอง 3 พ้อ ฟิล์มถ้าต้องตรวจดีเอ็นเอเพราะสังคมบีบก็ไม่ต้องตรวจดีกว่า ลูกคนเดียวเลี้ยงได้ แต่ยังชื่นชม นักร้องหนุ่มเป็นคนดี ทั้งนี้ตั้งชื่อให้ลูกว่า ฑีฆายุ

แอนนี่ บรู๊ค นักแสดงสาว ที่มีออกมาบอกว่าตั้งท้องกับ นักร้องดัง ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ออกมาเปิดใจอีกครั้ง โดยมีนายสรยุทธิ์ สุทัศนจินดาเป็นผู้สัมภาษณ์

"ที่จริงแอนนี่ไม่อยากออกมา เพราะตัวเองก็เสีย ครอบครัวก็เสีย ตัวเขาเองก็เสีย ไม่มีอะไรดี ที่พูดเพราะจำเป็นจริงๆ ไม่อยากทำร้ายใคร เคยสัญญากับเขาไว้ว่าจะไม่ทำร้ายเขา ถ้าทำ คงทำไปนานแล้ว คงไม่ต้องปิดบัง อยู่อย่างหลบซ่อน ไม่มีความสุข บอกใครก็ไม่ได้อย่างนี้"

"ตอนที่รู้ว่าท้องเราดีใจเพราะเป็นลูกเรา แต่ฟิล์มดูตกใจมากกว่า หนูเข้าใจเขานะ มันคืออนาคตของเขาทั้งชีวิต เราโทรไปบอกเขาตั้งแต่ตั้งท้องได้เดือนแรก และำ 4 เดือน ก็ชวนเขาไปตรวจดีเอ็นเอ เพราะสามารถเจาะน้ำคร่ำตรวจได้แล้ว เพื่อให้ครอบครัวเขาสบายใจ มั่นใจว่าลูกในท้องเราเป็นลูก และหลานเขา"

"แต่เขาไม่ตรวจค่ะ เราก็บอกนะว่าตรวจแล้วให้เขาเก็บผลไว้ เพราะเราไม่ต้องการอะไร รู้ว่าเขากลัวเป็นข่าว และยังบอกว่าถ้าไม่กล้าตรวจเมืองไทย ไปเมืองนอกกันไหม แต่เขาก็ไม่ไป แล้วก็หายไป"

"รู้จักกันตอนกันยายนปีที่แล้ว จากละครปีศาจแสนกล ยอมรับว่ามีความสัมพันธ์กันเร็วมาก แต่เจอกันไม่บ่อย ที่เป็นอย่างนี้เพราะเขาทำให้เรารู้สึกได้ว่าเขาจริงใจกับเราจริง เขารักหนู

เชื่อใจกันไหม เราไม่มีเขาไม่มีคนอื่นแน่นอน"

"ตอนท้องหนูเหงา ท้อ เหนื่อย อยู่คนเดียวจะกินนอน มันท้อแท้ไปหมด หนูส่งข้อความหาบ่อย ๆ เขาก็โทรมาหาบ้าง หนูว่าฟิล์มเป็นคนจิตใจดี แต่หนูเข้าใจ หนูถึงได้บอกว่าไม่อยากพูด

"ถึงตอนนี้หนูไม่ตรวจดีเอ็นเอแล้ว หนูคิดว่ายังไงก็เป็นซิงเกิลมัมแน่ เพราะเขาหายไปเลย หนูต้องโทรไปหลายครั้ง คือหลังจากเขาหายไป ลูกอายุได้สองเดือน เราก็คิดว่าเอาวะ ลูกคนเดียวแม่เลี้ยงได้ แม่ดูแลเอง (ร้องไห้) อย่าน้อยทำผิดครั้งนึง ไม่ดูแลตัวเอง แต่จะไม่ผิดซ้ำสอง ด้วยการทำแท้ง ฆ่าลูกตัวเองแน่นอน มีคนพูดทำไมไม่เอาออก ยังทำงานได้อีกเยอะแต่เราไม่ทำ ตั้งใจว่าจะเปิดเป็นความลับตลอด เลี้ยงเอง"

"ตอนนี้ตัดใจแล้ว ถ้าเขาจะต้องมายอมรับเพราะสังคมบีบให้ทำ อย่าดีกว่า เพราะไม่ได้ตั้งใจแต่แรก ทั้งๆ ที่เราแสดงความบริสุทธิ์ไปตั้งแต่แรก อย่าเลย หนูเลี้ยงเอง ไม่ต้องมาให้อะไรหนูด้วย"

"จากนี้ไปอยากให้เรื่องราวมันจบ ขอพี่ ๆ นักข่าวว่าหนูยังอยากทำงานเลี้ยงลูก เลี้ยงแม่ ตัวเขาเองก็เป็นซูปเปอร์สตาร์ ยังมีอนาคตอีกไลก ไม่อยากให้เขาตกต่ำเพราะเรา"

ยังรักเขาอยู่ไหม

"ถ้าไม่รักคงไม่ทำให้ขนาดนี้มั้ง"

ขอบคุณภาพจากรายการ เรื่องเด่นเย็นนี้ ช่อง 3


-----------------------------------------------------------------------------


เสียงส่วนหนึ่งจาก ประชาชนในอินเตอร์เน็ท



....สงสารแอนนี่อ่ะ ไม่ว่าไง ก็ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ
ลุก น่ารักน่าชังมากเลย แอนนี่เข็มแข็งดีค่ะ

....เก่งมากเลยครับอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอดบวกกับปกปิดเรื่องราวทุกอย่างเพียงเพราะไม่ต้องการให้คนที่รักต้องหล่นจากฟ้านับถือจิตใจมากครับเป็นกำลังใจให้ครับ
สู้สู้นะครับเพื่อลูกชายที่น่ารัก

....เด็กน่ารักมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้น่ะ สู้ๆๆแล้วกัน ขอให้ตรวจดีเอ็นเอน่ะ เป็นลูกฟิล์มแน่นอน แต่ไม่ต้องให้เขามารับผิดชอบในตัวเด็ก ฟิล์มจะได้เสียใจในวันนี้ที่เขาทำอย่างนี้

....คุณฟิล์ม....คุณซูเปอร์สตาร์ คุณมันก็แค่ดาราที่มีเบื้องหน้าอันสวยงามหอมหวานแต่เบื้องหลัง คุณทิ้งความเหม็นๆเน่าๆ ที่คุณก็รู้อยู่แก่ใจโดยที่คุณไม่คิดจะจัดการกับมันในทางที่จะต้องทำให้ถูกต้อง ตีหน้าซื่อเรียกร้องความสงสารจากสื่อและสังคม ปล่อยให้ผู้หญิงหนึ่งคนต้องมีชีวิตที่ทรมาณ ต่อไปนี้....คุณฟิล์ม...คุณซูเปอร์สตาร์...คุณเตรียมรับมือกับบาปกรรมที่คุณก่อไว้ได้เลย คุณจะต้องทรมาณกว่าที่ผู้หญิงคนนี้ได้รับ
คุณจะไม่มีใครดูแลในบั้นปลายของชีวิตซูเปอร์สตาร์.......อย่างคุณ...คุณฟิล์ม..รัฐภูมิ

....ผมก็ได้ดูช่วงที่คุณสรยุทธสัมภาษณ์น้องแอนนี่ผมรู้สึกสงสารผู้หญิง ความรู้สึกผมตอนนี้ตรงข้ามกับตอนที่ฟิล์มออกมาสารภาพเลย ตอนแรกก็ชื่นชมแต่ไม่เชื่อหมด (ฟังความข้างเดียว พูดดีใส่ตัว) อยากบอกว่าฟิล์มว่าศักดิ์ศรีในตัวเองแทบจะไม่มีเหลือแล้วไม่ว่าจะเป็นข่าวกับเสี่ยที่ติดคุกอยู่ตอนนี้ และปัจจุบัน ผมรู้สึกว่าชีวิตเขามีดีอยู่อย่างเดียวคือการที่เขาเลี้ยงดูพ่อแม่ แต่จะดียิ่งขึ้นถ้าเขาจะเลี้ยงผลิตผลที่เขาทำขึ้นเอง ... เห็นใจแอนนี้ครับ

....ทำแล้วไม่กล้ารับ ไม่น่าเลย ให้ผู้หญิงมาปกป้อง

....ทุกคำพูดที่ได้ยินจากปากของคุณแอนนี่ดิฉันรู้สึกได้เลยว่ามันมาจากความรู้สึกข้างในล้วนๆ ชื่นชมกับความเด็ดเดี่ยวที่กล้าจะเผชิญกับปัญหาด้วยความเข้มแข็ง ดิฉันคนหนึ่งละจะเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ขอความเมตตาต่อผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการให้ช่วยให้งานกับคุณแอนนี่ด้วยนะคะอย่าทอดทิ้งเธอให้โอกาศเธอเพื่อที่เธอจะได้เลี้ยงดูลูกน้อยได้ด้วยความภาคภูมิใจ ช่วยเธอด้วยนะคะ

....เมื่อก่อนผมก็มีปัญหาที่ไปทำผู้หญิงท้องมา สับสนและแก้ปัญหาไม่ได้ แตก็ต้องยอมรับว่าชีวิตได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะลูกยังไงก็เป็นสายเลือด ผมก็ตัดสินใจอย่างลูกผู้ชาย สร้างครอบครัว พื่อสายเลือดและรักษารอยร้าวในหัวใจของเราลง วันนี้ผมมีความสุขมากกับลูกที่กำลังเติบโต และทั้งชีวิตผมคิดไม่ผิดเลยที่เลือกที่จะถนอมดวงใจน้อย ๆ ของ ผม ผมรักลูกและภรรยาครับ อยกให้คุณฟิล์มรองหันมาดูสายเลือดของตนเอง จะทิ้งลงเหรอครับ นี่ลูกนะครับ วันหนึ่งคุณจะรู้ว่าลุกเกลียดพ่อเป็นอย่างไร มันเจ็บปวดนะครับ

....นายแมนมากให้ผู้หญิงปกป้องแต่นายไม่เคยให้สัมภาษณ์ปกป้องผู้หญิงเลยปกป้องตัวเองอย่างเดียว แมนโคตรๆ ลูกผู้ชายโคตร


ที่มาของ ข่าว http://news.sanook.com/


"ฟิล์ม-รัฐภูมิ"แถลงข่าวเคยคบ"แอนนี่ บรู๊ค" รอพิสูจน์ดีเอ็นเอก่อนรับเป็นพ่อ

หลังมีข่าวลือหนาหูว่า "ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์" นักร้องนักแสดงชื่อดังจากค่ายอาร์เอสมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนักแสดงสาว "แอนนี่ บรู๊ค" หรือ"รุ่งนภา แก้วไทรหาญ" ที่เจอกันในกองถ่ายละคร "ปีศาจแสนกล" จนฝ่ายหญิงตั้งครรภ์แล้วเก็บตัวเงียบ กระทั่งปัจจุบันคลอดบุตรชายอายุ 3 เดือน ออกมาแล้ว และมีข่าวว่านักร้องหนุ่มส่งเงินช่วยเหลือเลี้ยงดูมาโดยตลอด


ล่าสุดเมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 16 กันยายน ที่บริษัทอาร์เอส จำกัด (มหาชน) ฟิล์ม รัฐภูมิ ได้จัดแถลงข่าวด่วนถึงกระแสข่าวที่เกิดขึ้น
"ผมเคยคบกันอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นแฟน แต่ภายหลังผู้หญิง โทร.มาบอกว่าตั้งท้องกับผม ก็ตกใจมาก ปรึกษากับครอบครัวและคนสนิท ความรู้สึกตอนนั้นคือ ใช่ไม่ใช่เอาไว้ทีหลัง แต่ก็ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น และให้ความช่วยเหลือมาตลอด ถึงตอนนี้เด็กคลอดแล้ว วันที่คลอด พวกผมก็ไปดู ที่ให้ความช่วยเหลือเพราะเห็นเป็นเพื่อนคนหนึ่ง และอยู่ในระหว่างที่ลำบากก็น่าเห็นใจ"

ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจว่าใช่ลูกหรือไม่ ฟิล์มกล่าวว่า "ไม่ทราบ ผมต้องรอการพิสูจน์ ซึ่งคงอีกไม่นาน และถ้าใช่ผมก็ยืดอกรับ เพราะผมยอมรับความจริง"

เมื่อถามว่า ถ้าใช่จะแต่งงานหรือไม่ ฟิล์มกล่าวว่า เป็นเรื่องของอนาคตต้องรอดูผลและว่ากันอีกที เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ปิด เพียงแต่รอเวลาที่เหมาะสม แต่ตอนนี้พอเป็นข่าวใหญ่โตก็รีบออกมาชี้แจง เพื่อให้ทุกคนได้ทราบรายละเอียด ยอมรับว่าตัวเองและแฟนคลับก็ตกใจ ต้องขอโทษด้วย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเซ็นซิทีฟ

เมื่อถามอีกว่า มีข่าวว่าผู้หญิงไปเคาะประตูบ้านแล้วฟิล์มไม่เปิดรับ ฟิล์ม กล่าวว่า "ถ้าใจดำขนาดนั้นคงไม่ได้ดูแลช่วยเหลือ ระหว่างรอเหตุการณ์ทั้งหมด ก็จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด"

ทั้งนี้ รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2527 ที่ จ.สระบุรี เป็นนักร้องและนักแสดงชาวไทย ผลงานสร้างชื่อคือ โฆษณาฮอนด้า คู่กับอั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ และมีผลงานเพลงอัลบั้มเดี่ยวกับค่ายอาร์เอส

ส่วน แอนนี่ บรู๊ค หรือ รุ่งนภา บรู๊ค มีชื่อจริงว่า รุ่งนภา แก้วไทรหาญ เป็นลูกครึ่ง สวิส-ไทย จบนักเรียนผู้ช่วยพยาบาล จบชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนเจ้าฟ้าอุบลรัตน์ เป็นชาว จ.ลำปาง มีผลงานการแสดงมากมาย ส่วนมากบทที่ได้รับจะออกแนวตลก ผลงานสร้างชื่อคือ การรับบท เชอร์รี่ แอน ในภาพยนตร์ไทยเรื่องเชอรี่ แอน และก่อนหน้านี้เคยออกหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊ก "ทนอยู่ทำไมผู้ชาย SEX ห่วย" ซึ่งพูดถึงกลวิธีที่ผู้ชายจะเข้ามาหลอกผู้หญิง

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1284628115&grpid=00&catid=

วันที่ 16 กันยายน 2553 นายธนเดช พ่วงพูล ทนายความของพระปราโมทย์ ปาโมชโช(สันตยากร)เจ้าสำนักสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ได้เปิดแถลงข่าวที่สวนสันติธรรม เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีมีผู้ร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และถูกนางสาวฐิตินาถ ณ พัทลุง ไฮโซนักเขียนดัง ร้องเรียนพฤติกรรมและการทำธุรกรรมทางการเงินของสวนสันติธรรมและนางอรนุช สันตยากร อดีตภรรยา

"มติชนออนไลน์"นำคำแถลงของพระปราโมทย์มานำเสนอดังนี้

ข้อเท็จจริงกรณีของหลวงพ่อปราโมทย์และสวนสันติธรรม

การแถลงข่าวในครั้งนี้กระทำโดยตัวแทนของผู้มาปฏิบัติธรรมในสวนสันติธรรม มิใช่เกิดจากเจตนารมย์โดยตรงของหลวงพ่อปราโมทย์ ด้วยเหตุว่า ปัจจุบันมีกลุ่มของผู้ไม่หวังดีที่ได้กระทำการโดยมีเจตนาจะทำลายชื่อเสียงอันดีงามของหลวงพ่อปราโมทย์ และของสวนสันติธรรม ทางสวนสันติธรรมจึงได้มอบหมายให้ตัวแทนดำเนินการจัดให้มีการแถลงข้อเท็จจริงในวันนี้ให้กับสวนสันติธรรม

วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสวนสันติธรรมนั้น ได้จัดตั้งขึ้นมาตามความประสงค์ของผู้มีจิตศรัทธาต่อหลวงพ่อปราโมทย์ เพื่อใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม และศึกษาธรรมของผู้ที่มีจิตศรัทธาและความประสงค์จะเข้ามาศึกษาธรรมตามแนวทางของหลวงพ่อปราโมทย์ โดยในช่วงแรกได้จัดตั้งขึ้นเป็นศูนย์ศึกษาปฏิบัติธรรมซึ่งไม่ใช่นิติบุคคล ในการดำเนินการจัดสร้างนั้นเริ่มต้นด้วยการจัดซื้อที่ดิน

ในช่วงของการซื้อที่ดินคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง(ผู้เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิต) ซึ่งเป็นผู้บริจาคเงินบางส่วน ได้ร้องขอเป็นผู้ซื้อที่ดิน แต่ทางหลวงพ่อขอให้ใช้ชื่อของแม่ชีอรนุช(ภรรยาพระปราโมทย์)เนื่องจากว่า ไว้วางใจมากกว่า จึงทำให้มีชื่อของแม่ชีอรนุช เป็นเจ้าของที่ดินมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2548 มิใช่การโอนถ่ายให้แก่แม่ชีอรนุชในภายหลังแต่อย่างใด

ในการดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับการก่อสร้าง และตลอดจนการดำเนินงานของสวนสันติธรรมได้กระทำอย่างโปร่งใส มีบุคคลต่างๆ ที่มีชื่อเสียง ได้เข้ามารับรู้และทราบเรื่องเป็นจำนวนมาก ซึ่งสวนสันติธรรมก็ไม่เคยมีทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก หรือไม่เคยมีเรื่องการยักย้ายทรัพย์สินตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด

และในการบริหารเงินที่ได้รับบริจาคมาของสวนสันติธรรม ท่านแม่ชีอรนุชไม่ใช่ผู้ดูแลบัญชีเงินรับบริจาคแต่เพียงผู้เดียว ยกเว้นในช่วงแรกที่คุณฐิตินาถวางมือก่อนสร้างสวนสันติธรรมเสร็จ โดยบัญชีเงินรับบริจาคของสวนสันติธรรม มีพัฒนาการเป็น 3 ระยะคือ

1. ระยะก่อสร้างสวนสันติธรรม เบื้องต้นมีการเปิดบัญชีเพื่อสร้างสวนสันติธรรมในนามของท่านแม่ชีอรนุชร่วมกับคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ซึ่งการลงนามเบิกเงินจะต้องลงนามร่วมกัน โดยคุณฐิตินาถจะเป็นผู้ขอเบิกจ่ายเนื่องจากเป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง และคุณธนา รุจิพัฒนกุล เป็นผู้ถือสมุดบัญชีเงินฝากและตรวจสอบรายรับรายจ่าย และในช่วงที่สวนสันติธรรมเปิดการแสดงธรรมแล้ว มีการเปิดบัญชีอีกบัญชีหนึ่งในนามของท่านแม่ชีอรนุชและคุณฐิตินาถร่วมกัน เพื่อดูแลเงินที่สาธุชนถวายสงฆ์เพื่อบำรุงสวนสันติธรรม

2. ระยะหลังการก่อสร้าง ในช่วงท้ายของการก่อสร้างคุณฐิตินาถวางมือเนื่องจากมีภาระส่วนตัว ท่านแม่ชีอรนุชจึงต้องรับภาระดูแลบัญชีตามลำพัง ในช่วงธันวาคม 2549 เป็นต้นมา โดยปิดบัญชีสร้างสวนสันติธรรมเพื่อนำเงินไปชำระหนี้ และปิดบัญชีบำรุงสวนสันติธรรมเดิมโดยถ่ายโอนเงินไปเปิดบัญชีใหม่ในนามของท่านแม่ชีอรนุชตามลำพัง เนื่องจากคุณฐิตินาถไม่ได้อยู่ในสวนสันติธรรมแล้ว

แต่การใช้จ่ายทุกอย่างมีหลักฐานการเบิกจ่ายทั้งสิ้น และต่อมาเมื่อมีเงินในบัญชีมากขึ้น สวนสันติธรรมจึงได้เปิดบัญชีธนาคารใหม่เมื่อ 22 สิงหาคม 2551 ในนามของท่านแม่ชีอรนุช คุณอภิชาติ อัศวเรืองชัย และคุณชยาทร เตชะไพบูลย์ และทุกสิ้นเดือน ท่านแม่ชีอรนุชจะทำบัญชีส่งให้คุณอภิชาติเป็นหลักฐานด้วย

อย่างไรก็ตามตั้งแต่คุณอภิชาติลาออกจากการเป็นประธานกรรมการสวนสันติธรรมเมื่อ 15 มกราคม 2553 ก็ไม่มีการเบิกเงินจากบัญชีนี้แต่อย่างใด

1.1.3 ระยะปัจจุบัน เมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2553 มีการเปิดบัญชีใหม่ ในนามของคุณสุรพล สายพานิช คุณธนา รุจิพัฒนกุล และคุณกนิษฐวิริยา ต.สุวรรณ ทั้งนี้ท่านแม่ชีอรนุชทำหน้าที่เพียงการควบคุมการเบิกจ่ายเงินสดย่อย และสรุปยอดบัญชีรายเดือนส่งให้คุณสุรพล ซึ่งได้จ้างนักบัญชีตรวจสอบบัญชีอีกชั้นหนึ่งด้วย

เงินบริจาคของสวนสันติธรรมจะมาจาก 2 ทาง คือ ส่วนที่มีผู้บริจาคเข้าบัญชีโดยตรง และจากญาติโยมที่เข้ามาฟังธรรมและได้บริจาคแด่สงฆ์ที่อยู่ในสวนสันติธรรมเพื่อบำรุงสวนสันติธรรม ซึ่งเงินในส่วนที่สองนี้จะมีอาสาสมัครคอยดูแล และตรวจนับ มีการลงรายการรับไว้ครบถ้วน และทางสวนสันติธรรมจะมีการใช้เงินอย่างมีระบบเอกสารการเบิกจ่ายครบถ้วนตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น

อนึ่ง การที่หลวงพ่อปราโมทย์ได้มอบหมายให้ท่านแม่ชี อรนุช รับมอบอำนาจดำเนินการควบคุมการเบิกจ่ายเงินของสวนสันติธรรมแทนหลวงพ่อปราโมทย์ และดูแลบัญชีเป็นบางคราวนั้น เนื่องจากท่านหลวงพ่อปราโมทย์ ท่านเป็นพระในสายของธรรมยุตินิกาย ซึ่งจะไม่มีสามารถจับต้องหรือเก็บเงินทอง หรือซื้อทรัพย์สินใดๆ เองได้ ทั้งสิ้น และในสวนสันติธรรมไม่มีอุบาสกอยู่ประจำ จึงจำเป็นที่จะต้องให้ท่านแม่ชีอรนุชดูแลแทน และที่ผ่านมาท่านแม่ชีก็ได้ร้องขอต่อหลวงพ่อปราโมทย์บ่อยครั้ง ที่จะให้หาคนมาทำงานแทน เพื่อท่านแม่ชีจะได้บำเพ็ญภาวนาได้เต็มที่ต่อไป

และนอกจากนี้เกี่ยวกับที่ดินของสวนสันติธรรมตามที่เป็นข่าว ภายหลังจากที่จัดสร้างสวนสันติธรรมแล้วเสร็จ ในช่วงแรกมีผู้เห็นว่าการตั้งเป็นวัดนั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก และในตอนนั้นยังไม่เหมาะสมจึงยังไม่ดำเนินการ

ต่อมาในเดือนมกราคม 2553 เมื่อเห็นว่าทุกอย่างลงตัวและพร้อมแล้ว หลวงพ่อปราโมทย์ก็ได้ให้ท่านแม่ชีอรนุชยื่นเรื่องขอยกที่ดินแปลงที่เป็นที่ตั้งของสวนสันติธรรมให้มีการจัดตั้งเป็นวัดแล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2553 โดยทำสัญญากับท่านนายอำเภอศรีราชา และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการอนุญาตต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สวนสันติธรรมมีฐานะเป็นวัดต่อไป
......
ประเด็นข้อร้องเรียนของนายเทิดศักดิ์ เตชะกิจขจร ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ

ข้อร้องเรียน ขอให้ตรวจสอบทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้สวนสันติธรรม เพราะพบว่า

1.พระปราโมทย์มอบอำนาจให้แม่ชีอรนุชเป็นผู้ดูแลบัญชีเงินรับบริจาคแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีการตั้งคณะกรรมการดูแล
2.ที่ดินเปลี่ยนชื่อเป็นของแม่ชีอรนุช

ข้อเท็จจริง

1. ระบบการเงินและบัญชีของสวนสันติธรรม

1.1 บัญชีสวนสันติธรรม แม่ชีอรนุชไม่ใช่ผู้ดูแลบัญชีเงินรับบริจาคแต่เพียงผู้เดียว โดยบัญชีเงินรับบริจาคของสวนสันติธรรม มีพัฒนาการเป็น 3 ระยะคือ

1.1.1 ระยะก่อสร้างสวนสันติธรรม เบื้องต้นมีการเปิดบัญชีเพื่อสร้างสวนสันติธรรมในนามของแม่ชีอรนุชร่วมกับคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ซึ่งการลงนามเบิกเงินจะต้องลงนามร่วมกัน โดยคุณฐิตินาถจะเป็นผู้ขอเบิกจ่ายเนื่องจากเป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง และคุณธนา รุจิพัฒนกุลเป็นผู้ถือถือสมุดบัญชีเงินฝากและตรวจสอบรายรับรายจ่าย และในช่วงที่สวนสันติธรรมเปิดการแสดงธรรมแล้ว มีการเปิดบัญชีอีกบัญชีหนึ่งในนามของแม่ชีอรนุชและคุณฐิตินาถร่วมกัน เพื่อดูแลเงินที่สาธุชนถวายสงฆ์เพื่อบำรุงสวนสันติธรรม

1.1.2 ระยะหลังการก่อสร้าง ในช่วงท้ายของการก่อสร้างคุณฐิตินาถวางมือเนื่องจากมีภาระส่วนตัว แม่ชีอรนุชจึงรับภาระดูแลบัญชีตามลำพังในช่วงธันวาคม 2549 เป็นต้นมา โดยปิดบัญชีสร้างสวนสันติธรรมเพื่อนำเงินไปชำระหนี้ และปิดบัญชีบำรุงสวนสันติธรรมเดิมโดยถ่ายโอนเงินไปเปิดบัญชีใหม่ในนามของแม่ชีอรนุชตามลำพัง เนื่องจากคุณฐิตินาถไม่ได้อยู่ในสวนสันติธรรมแล้ว แต่การใช้จ่ายทุกอย่างมีหลักฐานการเบิกจ่ายทั้งสิ้น และต่อมาเมื่อมีเงินในบัญชีมากขึ้น สวนสันติธรรมจึงได้เปิดบัญชีธนาคารใหม่เมื่อ 22 สิงหาคม 2551 ในนามของแม่ชีอรนุช คุณอภิชาติ อัศวเรืองชัย และคุณชยาทร เตชะไพบูลย์ และทุกสิ้นเดือน แม่ชีอรนุชจะทำบัญชีส่งให้คุณอภิชาติเป็นหลักฐานด้วย อย่างไรก็ตามตั้งแต่คุณอภิชาติลาออกจากการเป็นประธานกรรมการสวนสันติธรรมเมื่อ 15 มกราคม 2553 ก็ไม่มีการเบิกเงินจากบัญชีนี้แต่อย่างใด

1.1.3 ระยะปัจจุบัน เมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2553 มีการเปิดบัญชีใหม่ ในนามของคุณสุรพล สายพานิช คุณธนา รุจิพัฒนกุล และคุณกนิษฐวิริยา ต.สุวรรณ ทั้งนี้แม่ชีอรนุชไม่ได้ดูแลเรื่องบัญชีของสวนสันติธรรมอีกต่อไป

1.2 ระบบการเงินของสวนสันติธรรม ที่มาของรายได้ของสวนสันติธรรมมี 2 ส่วนคือ (1) ส่วนที่มีผู้บริจาคเข้าบัญชีของสวนสันติธรรม และ (2) ส่วนที่ญาติโยมที่มาฟังธรรมถวายปัจจัยแด่สงฆ์เพื่อบำรุงสวนสันติธรรม

เงินส่วนแรก คนในสวนสันติธรรมไม่ได้แตะต้อง แต่เงินบริจาคใส่ตู้ถวายสงฆ์เพื่อบำรุงสวนสันติธรรมนั้น จะมีขั้นตอนการทำงานดังนี้คือ

(1) มีการตรวจนับหน้าตู้ทุกวันที่เปิดสวนสันติธรรม โดยทีมงานอาสาสมัครซึ่งก็คือผู้ที่มาฟังธรรมนั่นเอง เมื่อตรวจนับแล้วจะลงยอดรายรับในแต่ละวันแล้วส่งยอดพร้อมตัวเงินให้แม่ชีอรนุช

(2) แม่ชีอรนุชจะรวมยอดรายรับแต่ละวันไว้

(3) เมื่อมีผู้เบิกค่าใช้จ่ายภายในสวนสันติธรรม จะต้องนำหลักฐานการเบิกจ่ายไปแสดงต่อแม่ชีอรนุชเพื่อขอรับเงิน

(4) เมื่อมีเงินสดคงเหลือจำนวนหนึ่ง แม่ชีอรนุชจะนำเข้าฝากในบัญชีของสวนสันติธรรมเป็นระยะๆ (เงินในบัญชีแทบไม่เคยเบิกจ่ายเลย)

(5) เมื่อถึงสิ้นเดือน แม่ชีอรนุชจะต้องส่งรายการรายรับรายจ่ายทั้งเดือนให้คุณสุรพล สายพานิช เพื่อลงบัญชี และมีผู้ตรวจสอบบัญชีอย่างเป็นระบบ


สำหรับเหตุผลที่ต้องให้ฆราวาสดูแลการเบิกจ่ายเงินนั้น ก็เนื่องจากสวนสันติธรรมเป็นที่พักสงฆ์ของพระธรรมยุติ ซึ่งพระจะดูแลเงินเองไม่ได้เพราะผิดพระวินัย และในสวนสันติธรรมมีผู้ที่ไม่ใช่พระซึ่งอยู่ประจำเพียง 2 คน คือแม่ชีอรนุชกับคุณชยาทร เตชะไพบูลย์เท่านั้น ซึ่งทั้งสองคนจำเป็นต้องแบ่งงานกันทำ อย่างไรก็ตามเมื่อสวนสันติธรรมได้ขอตั้งเป็นวัดแล้ว จะต้องหาไวยาวัจกรใหม่ซึ่งจะเป็นผู้ชาย ขณะนี้ได้ทาบทามผู้ที่สงฆ์ไว้วางใจได้ไว้แล้ว


2.การซื้อที่ดินของสวนสันติธรรม

2.1 เดิมหลวงพ่อปราโมทย์จำพรรษาอยู่ที่สวนโพธิญาณอรัญวาสี อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ต่อมาในปี 2548 คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ได้พยายามขอสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมใหม่ถวาย โดยตกลงกันว่าคุณฐิตินาถและครอบครัวจะรับภาระค่าใช้จ่ายเอง เนื่องจากหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ชอบการเรี่ยไร

2.2 ต่อมาคุณฐิตินาถได้แจ้งให้หลวงพ่อปราโมทย์ทราบว่า จำเป็นต้องขอเรี่ยไรเงินค่าซื้อที่ดินประมาณ 6 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ คุณฐิตินาถและครอบครัวจะรับผิดชอบเอง หลวงพ่อปราโมทย์จึงยินยอม (แต่ต่อมาก็มีการเรี่ยไรค่าก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง) และในขั้นตอนการซื้อที่ดินนั้น เกิดปัญหาว่าจะใช้ชื่อผู้ใดเป็นผู้ซื้อที่ดิน เพราะหลวงพ่อปราโมทย์เป็นพระ จะไปซื้อที่ดินด้วยตนเองไม่ได้ ชั้นแรกคุณฐิตินาถขอให้ใช้ชื่อตนเอง แต่หลวงพ่อปราโมทย์ขอให้ใช้ชื่อแม่ชีอรนุชแทนเพราะไว้วางใจมากกว่า ดังนั้นที่ดินของสวนสันติธรรมจึงเป็นชื่อของแม่ชีอรนุชมาตั้งแต่ต้นคือเมื่อ 18 ตุลาคม 2548 ไม่ใช่การโอนให้แม่ชีอรนุชในภายหลังแต่อย่างใด

2.3 นับตั้งแต่กรรมการสวนสันติธรรมส่วนหนึ่งลาออกเมื่อกลางเดือนมกราคม 2553 หลวงพ่อปราโมทย์พร้อมด้วยสงฆ์และกรรมการสวนสันติธรรม เห็นพร้อมกันว่าน่าจะขอตั้งสวนสันติธรรมให้เป็นวัด เพื่อให้มีสถานะที่ชัดเจนในทางกฏหมาย (ที่ผ่านมาได้รับคำแนะนำจากหลายท่านว่า การตั้งเป็นวัดอาจทำให้ขาดความคล่องตัวในการทำงานเผยแผ่พระศาสนา) จึงดำเนินเรื่องขอตั้งวัดมาตามลำดับ โดยแม่ชีอรนุชได้ลงนามในสัญญากับนายอำเภอศรีราชาเมื่อ 23 มีนาคม 2553 ยกที่ดินให้สร้างวัด ดังนั้นที่ดินของสวนสันติธรรมในขณะนี้ จึงเป็นที่ดินที่ติดสัญญา และจัดว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่สามารถดำเนินการอื่นใดได้อีกแล้ว

ที่มา www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1284607309


หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ร้าย ๆ ในช่วงวิกฤติของบ้านเมืองมาแล้ว หลาย คนพยายามหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจล่าสุด พิพิธภัณฑ์พระที่นั่งวิมานเมฆ ได้เปิด “พระตำหนักสวนสี่ฤดูและตำหนักหอ” ให้ประชาชนชาวไทยได้เยี่ยมชม พร้อมสักการะ เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวองค์ทองคำ และพระมหาโพธิสัตว์กวนอิมหยกขาว เพื่อเป็นสิริมงคลอีกครั้ง หลังจากปิดมานานหลายปี ถือเป็นการท่องเที่ยวเสริมสิริมงคลที่ประหยัดเวลาเพราะอยู่ใน กรุงเทพมหานคร นี่เอง

พระที่นั่งวิมานเมฆที่เรารู้จักกันดีเป็นพระที่นั่ง หลังงามที่ได้ชื่อว่าเป็นอาคารไม้สักทองหลังใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ภายในอาณาบริเวณพระราชวังดุสิต ถ้าใครได้ลองเข้ามาชมแทบไม่น่าเชื่อว่าบรรยากาศอย่างนี้จะยังมีหลงเหลืออยู่ในกรุงเทพฯ ที่แสนวุ่นวาย โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2443 ลักษณะองค์พระที่นั่งเป็นรูปตัวแอลในภาษาอังกฤษ คือสร้างเป็นรูปสองแฉกตั้งฉากกัน แต่ละด้านยาว 60 เมตร เป็นอาคาร 3 ชั้น เว้นแต่ตอนที่ประทับเรียกว่า “แปดเหลี่ยม” มี 4 ชั้น ซึ่งชั้นใต้ดินก่ออิฐถือปูน ส่วนชั้นถัดไปสร้างด้วยไม้สักทองทั้งหมด มีห้องจัดแสดงรวมทั้งสิ้น 31 ห้อง มีความสูงถึงเพดานชั้น 4 ถึง 20 เมตร ในอดีต ถูกปิดร้างและทรุดโทรม

จวบจน พ.ศ. 2525 เป็นปีที่ฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสำรวจและพบว่าพระที่นั่งวิมานเมฆ ยังคงสภาพที่สมบูรณ์เป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามและยังมีภาพถ่ายฝีพระหัตถ์รวมถึงศิลปวัตถุส่วนพระองค์เป็นจำนวน มาก จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบูรณะซ่อมแซมเพื่อจัดเป็นพิพิธ ภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเพื่อเป็นมรดกของชาติสืบไป

ไม่มีใครเคยนึกฝันว่าพระที่นั่งวิมานเมฆจะกลับมา มีชีวิตชีวาอีกครั้ง ปัจจุบันที่ชั้น 2 ได้จัดแสดงเครื่องเงินฝีมือประณีตในแบบต่าง ๆ เครื่องลายครามนานาชนิด รวมทั้งชุด จ.ป.ร. ที่สวยงาม เครื่องกระเบื้อง ตลอดจนงาช้างและเขาสัตว์ที่ทรงสะสมไว้ รวมทั้งเปียโนหลังใหญ่ทำจากเขาสัตว์ตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางห้อง ส่วนองค์พระที่นั่งชั้น 3 จัดแสดงเครื่องแก้วเจียระไน เครื่องเบญจรงค์ เครื่องลายคราม เครื่องถม ตลอดจนได้จัดตกแต่งท้อง พระโรง ห้องทรงพระอักษร ห้องเสวย และหมู่ห้องไทยไว้อย่างพร้อมมูลด้วย

ส่วนชั้น 4 เป็นชั้นบนสุดจัดเป็นหมู่ห้องพระบรรทมมีห้องสำคัญ 4 ห้อง คือ ห้องทรงงาน ห้องบรรทม ห้องแต่งพระองค์ และห้องสรง ทุก ๆ ห้องได้จัดแสดงเครื่องใช้ส่วนพระองค์ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เคยทรงในอดีต โดยการเดินชมจะมีเจ้าหน้าที่คอยบริการบรรยายประวัติความเป็นมาของแต่ละห้องเป็นรอบ ๆ ซึ่งจากการเดินชมจะพบว่าการจัดแสดงบางห้องยัง คงลักษณะบรรยากาศในอดีต ไว้อย่างน่าประทับใจ

นอกจากพระที่นั่งวิมานเมฆแล้ว ยังมีมวลหมู่พระตำหนักและหมู่ตำหนักต่าง ๆ ทั้งหมด 11 หลังที่มีอายุเก่าแก่กว่า 111 ปี ที่ยังมีความงามและมีประวัติน่าสนใจรายล้อมองค์พระที่นั่งวิมานเมฆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมด้วย โดยเฉพาะตำหนัก หอและพระตำหนักสวนสี่ฤดู ที่ปิดมานานขณะนี้ ได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมแล้ว

วัชรกิติ วัชโรทัย กรมวังผู้ใหญ่ สำนักพระราชวัง กล่าวถึง “ตำหนักหอ” ว่าเป็นตำหนักแรกในวังบางขุนพรหม เป็นที่ประทับของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริให้รื้อย้ายตำหนักหอ จากวังศุโขทัยมาปลูกสร้าง ณ พระราชวังดุสิต ปัจจุบันภาย ในตำหนักหอใช้เป็นที่จัดแสดงของใช้ส่วนพระองค์สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

นอกจากจะได้ชมศิลปวัตถุโบราณที่ล้ำค่าแล้ว ภายในตำหนักหอ นักท่องเที่ยวยังสามารถชมความงดงามและร่วมสักการะเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวองค์ทองคำประทับในเก๋งจีนทรงแปดเหลี่ยม จัดสร้างด้วยทองคำ โดยประชาชนชาวไทยภาคใต้ได้สร้างจำลอง ขึ้นเป็นพิเศษเพื่อน้อมเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 72 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2542

ส่วน “พระตำหนักสวนสี่ฤดู” อดีตเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีขณะทรงพระเยาว์ ปัจจุบันจัดแสดงสิ่งของบางส่วนที่ประชาชนชาวไทย คณะทูตา นุทูตและประมุขต่างประเทศทูลเกล้าฯถวายเนื่องในมงคลสมัยกาญจนาภิเษก ทรงครองสิริ ราชสมบัติครบ 50 ปี เช่น “กระต่ายแกะสลักด้วยหินพลอยแดง หนวดทำด้วยทองคำ” ทูลเกล้าฯ ถวายโดยพสกนิกรชาวจันทบุรี หลังจากเข้าชมภายในพระตำหนักสวนสี่ฤดูแล้ว ประชาชนยังจะได้สักการะขอพรพระมหาโพธิสัตว์กวนอิมหยกขาวปางต่าง ๆ จำนวน 5 องค์ ขนาด 2.10 เมตร ณ บริเวณสนามทางด้านทิศเหนือของพระตำหนักด้วย โดยประชาชนชาวไทยสร้างน้อมเกล้าฯ ถวายเนื่องในโอกาส ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว ทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 50 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2539

เนื่องในโอกาสพิเศษนี้เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้ ท่องเที่ยวและสัมผัสความงดงามของสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติ ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 กรกฎาคม 2553 หากใครที่เข้าชม 3 สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น สามารถนำบัตรเข้าชมมารับโปสการ์ด ที่ระลึกเพื่อใช้เป็นบัตรเข้าชมพระที่นั่งวิมานเมฆฟรีในครั้งต่อไปได้อีกด้วย เที่ยวใกล้ ๆ พร้อมสัมผัสกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์ “พระที่นั่งวิมานเมฆ” ถือเป็นอีกหนึ่งคำตอบน่าสนใจ สำหรับทุกครอบครัวที่ชื่นชอบความ งดงามของศิลปะแบบไทย ๆ อย่างแท้จริง.

สีสันรายทาง

การเดินทาง พระที่นั่งวิมานเมฆสามารถเข้าชมได้ทางประตูถนนอู่ทองในและถนนราชวิถี

โดยสามารถเที่ยวชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.30-16.00 น. บัตรผู้ใหญ่ราคา 75 บาท นักเรียน นักศึกษา 20 บาท นักท่องเที่ยวต่างชาติ 100 บาท

สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงที่น่าสนใจ “ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์” อาคารจัดแสดงนาฬิกาโบราณ“ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรุณวดี” อาคารจัดแสดงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานมา จัดแสดง “ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญา” อาคารจัดแสดงพระภูษาและผ้าโบราณในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และผ้าไหมของมูลนิธิศิลปาชีพ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถโปรดเกล้าฯพระราชทานมาจัดแสดง ซึ่งทั้ง 3 ตำหนักนี้อยู่รายล้อมพระ ที่นั่งวิมานเมฆ

ของฝากที่ระลึก สามารถเลือกซื้อได้จากร้านผลิตภัณฑ์โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา ร้านภูฟ้า และร้านจิตรลดา.

ทีมวาไรตี้ เดลินิวส์

10:43

ชีวประวัติ "สุนทรภู่"

เขียนโดย Thaihotnew |

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ถ้าเอ่ยชื่อ "สุนทรภู่" เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกวีชาวไทยที่มีชื่อเสียงก้องโลก โดยเฉพาะกลอนนิทานเรื่อง "พระอภัยมณี" จนได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้านงานวรรณกรรม หรือ “มหากวีแห่งรัตนโกสินทร์" หรือ “เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย" และคงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า "วันที่ 26 มิถุนายน" ของทุกปีคือ "วันสุนทรภู่" ซึ่งมักจะมีการจัดนิทรรศการ ประกวดแต่งคำกลอน เพื่อแสดงถึงการรำลึกถึง เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงไม่พลาด ขอพาไปเปิดประวัติ "วันสุนทรภู่" ให้มากขึ้นค่ะ...

ชีวประวัติ "สุนทรภู่"

สุนทรภู่ กวีสำคัญสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เกิดวันจันทร์ เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช 1148 เวลา 2 โมงเช้า หรือตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 เวลา 8.00 น. นั่นเอง ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง (บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบัน) บิดาของท่านเป็นชาวกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ชื่อพ่อพลับ ส่วนมารดาเป็นชาวเมืองฉะเชิงเทรา ชื่อแม่ช้อย สันนิษฐานว่ามารดาเป็นข้าหลวงอยู่ในพระราชวังหลัง เชื่อว่าหลังจากสุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าร้างกัน บิดาออกไปบวชอยู่ที่วัดป่ากร่ำ ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง อันเป็นภูมิลำเนาเดิม ส่วนมารดาได้เข้าไปอยู่ในพระราชวังหลัง ถวายตัวเป็นนางนมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระธิดาในเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ดังนั้น สุนทรภู่จึงได้อยู่ในพระราชวังหลังกับมารดา และได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง ซึ่งสุนทรภู่ยังมีน้องสาวต่างบิดาอีกสองคน ชื่อฉิมและนิ่ม อีกด้วย

"สุนทรภู่" ได้รับการศึกษาในพระราชวังหลังและที่วัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) ต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนนายระวางกรมพระคลังสวน ในกรมพระคลังสวน แต่ไม่ชอบทำงานอื่นนอกจากแต่งบทกลอน ซึ่งสามารถแต่งได้ดีตั้งแต่ยังรุ่นหนุ่ม เพราะตั้งแต่เยาว์วัยสุนทรภู่มีนิสัยรักแต่งกลอนยิ่งกว่างานอื่น ครั้งรุ่นหนุ่มก็ไปเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่วัดศรีสุดารามในคลองบางกอกน้อย ได้แต่งกลอนสุภาษิตและกลอนนิทานขึ้นไว้ เมื่ออายุราว 20 ปี

ต่อมาสุนทรภู่ลอบรักกับนางข้าหลวงในวังหลังคนหนึ่ง ชื่อแม่จัน ซึ่งเป็นบุตรหลานผู้มีตระกูล จึงถูกกรมพระราชวังหลังกริ้วจนถึงให้โบยและจำคุกคนทั้งสอง แต่เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. 2349 จึงมีการอภัยโทษแก่ผู้ถูกลงโทษทั้งหมดถวายเป็นพระราชกุศล หลังจากสุนทรภู่ออกจากคุก เขากับแม่จันก็เดินทางไปหาบิดาที่ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง และมีบุตรด้วยกัน 1 คน ชื่อ “พ่อพัด” ได้อยู่ในความอุปการะของเจ้าครอกทองอยู่ ส่วนสุนทรภู่กับแม่จันก็มีเรื่องระหองระแหงกันเสมอ จนภายหลังก็เลิกรากันไป

หลังจากนั้น สุนทรภู่ ก็เดินทางเข้าพระราชวังหลัง และมีโอกาสได้ติดตามพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ในฐานะมหาดเล็ก ตามเสด็จไปในงานพิธีมาฆบูชา ที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2350 และเขาก็ได้แต่ง “นิราศพระบาท” พรรณนาเหตุการณ์ในการเดินทางคราวนี้ด้วย และหลังจาก “นิราศพระบาท” ก็ไม่ปรากฏผลงานใดๆ ของสุนทรภู่อีกเลย

จนกระทั่งเข้ารับราชการในปี พ.ศ. 2359 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์ และเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนแต่งตั้งให้เป็นกวีที่ปรึกษาและคอยรับใช้ใกล้ชิด เนื่องจากเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแต่งกลอนบทละครในเรื่อง "รามเกียรติ์" ติดขัดไม่มีผู้ใดต่อกลอนได้ต้องพระราชหฤทัย จึงโปรดให้สุนทรภู่ทดลองแต่ง ปรากฏว่าแต่งได้ดีเป็นที่พอพระทัย จึงทรงพระกรุณาฯ เลื่อนให้เป็น "ขุนสุนทรโวหาร"

ต่อมาในราว พ.ศ. 2364 สุนทรภู่ต้องติดคุกเพราะเมาสุราอาละวาดและทำร้ายท่านผู้ใหญ่ แต่ติดอยู่ไมนานก็พ้นโทษ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงติดขัดบทพระราชนิพนธ์เรื่อง "สังข์ทอง" ไม่มีใครแต่งได้ต้องพระทัย ทรงให้สุนทรภู่ทดลองแต่งก็เป็นที่พอพระราชหฤทัยภายหลังพ้นโทษ สุนทรภู่ได้เป็นพระอาจารย์ถวายอักษรสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 และ เชื่อกันว่าสุนทรภู่แต่งเรื่อง "สวัสดิรักษา" ในระหว่างเวลานี้ ซึ่งในระหว่างรับราชการอยู่นี้ สุนทรภู่แต่งงานใหม่กับแม่นิ่ม มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน ชื่อ "พ่อตาบ

"สุนทรภู่" รับราชการอยู่เพียง 8 ปี เมื่อถึงปี พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต หลังจากนั้นสุนทรภู่ก็ออกบวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) อยู่เป็นเวลา 18 ปี ระหว่างนั้นได้ย้ายไปอยู่วัดต่างๆ หลายแห่ง ได้แก่ วัดเลียบ, วัดแจ้ง, วัดโพธิ์, วัดมหาธาตุ และวัดเทพธิดาราม ซึ่งผลจากการที่ภิกษุภู่เดินทางธุดงค์ไปที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ปรากฏผลงานเป็นนิราศเรื่องต่างๆ มากมาย งานเขียนชิ้นสุดท้ายที่ภิกษุภู่แต่งไว้ก่อนลาสิกขาบท คือ รำพันพิลาป โดยแต่งขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม พ.ศ. 2385 ทั้งนี้ ระหว่างที่ออกเดินทางธุดงค์ ภิกษุภู่ได้รับการอุปการะจากพระองค์เจ้าลักขณานุคุณจนพระองค์ประชวรสิ้นพระชมน์ สุนทรภู่จึงลาสิกขาบท รวมอายุพรรษาที่บวชได้ประมาณ 10 พรรษา สุนทรภู่ออกมาตกระกำลำบากอยู่พักหนึ่งจึงกลับเข้าไปบวชอีกครั้งหนึ่ง แต่อยู่ได้เพียง 2 พรรษา ก็ลาสิกขาบท และถวายตัวอยู่กับเจ้าฟ้าน้อย หรือสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระราชวังเดิม รวมทั้งได้รับอุปการะจากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพอีกด้วย

ในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ครองราชย์ ทรงสถาปนาเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่วังหน้า (พระบวรราชวัง) สุนทรภู่จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระสุนทรโวหาร" ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายบวรราชวังในปี พ.ศ. 2394 และรับราชการต่อมาได้ 4 ปี ก็ถึงแก่มรณกรรมใน พ.ศ. 2398 รวมอายุได้ 70 ปี ในเขตพระราชวังเดิม ใกล้หอนั่งของพระยามนเทียรบาล (บัว) ที่เรียกชื่อกันว่า "ห้องสุนทรภู่"

สำหรับทายาทของสุนทรภู่นั้น เชื่อกันว่าสุนทรภู่มีบุตรชาย 3 คน คือ"พ่อพัด" เกิดจากภรรยาคนแรกคือแม่จัน "พ่อตาบ" เกิดจากภรรยาคนที่สองคือแม่นิ่ม และ "พ่อนิล" เกิดจากภรรยาที่ชื่อแม่ม่วง นอกจากนี้ ปรากฏชื่อบุตรบุญธรรมอีกสองคน ชื่อ "พ่อกลั่น" และ "พ่อชุบ" อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น และตระกูลของสุนทรภู่ได้ใช้นามสกุลต่อมาว่า "ภู่เรือหงส์"

ผลงานของสุนทรภู่

หนังสือบทกลอนของสุนทรภู่มีอยู่มาก เท่าที่ปรากฏเรื่องที่ยังมีฉบับอยู่ในปัจจุบันนี้คือ…

ประเภทนิราศ

- นิราศเมืองแกลง (พ.ศ. 2349) - แต่งเมื่อหลังพ้นโทษจากคุก และเดินทางไปหาพ่อที่เมืองแกลง

- นิราศพระบาท (พ.ศ. 2350) - แต่งหลังจากกลับจากเมืองแกลง และต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการรอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรีในวันมาฆบูชา

- นิราศภูเขาทอง (ประมาณ พ.ศ. 2371) - แต่งโดยสมมุติว่า เณรหนูพัด เป็นผู้แต่งไปนมัสการพระเจดีย์ภูเขาทองที่จังหวัดอยุธยา

- นิราศสุพรรณ (ประมาณ พ.ศ. 2374) - แต่งเมื่อครั้งยังบวชอยู่ และไปค้นหายาอายุวัฒนะที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นผลงานเรื่องเดียวของสุนทรภู่ที่แต่งเป็นโคลง

- นิราศวัดเจ้าฟ้า (ประมาณ พ.ศ. 2375) - แต่งเมื่อครั้งยังบวชอยู่ และไปค้นหายาอายุวัฒนะตามลายแทงที่วัดเจ้าฟ้าอากาศ (ไม่ปรากฏว่าที่จริงคือวัดใด) ที่จังหวัดอยุธยา

- นิราศอิเหนา (ไม่ปรากฏ, คาดว่าเป็นสมัยรัชกาลที่ 3) แต่งเป็นเนื้อเรื่องอิเหนารำพันถึงนางบุษบา

- รำพันพิลาป (พ.ศ. 2385) - แต่งเมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม แล้วเกิดฝันร้ายว่าชะตาขาด จึงบันทึกความฝันพร้อมรำพันความอาภัพของตัวไว้เป็น "รำพันพิลาป" จากนั้นจึงลาสิกขาบท

- นิราศพระประธม (พ.ศ. 2385) –เชื่อว่าแต่งเมื่อหลังจากลาสิกขาบทและเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปนมัสการพระประธมเจดีย์ (หรือพระปฐมเจดีย์) ที่เมืองนครชัยศรี

- นิราศเมืองเพชร (พ.ศ. 2388) - แต่งเมื่อเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เชื่อว่าไปธุระราชการอย่างใดอย่างหนึ่ง นิราศเรื่องนี้มีฉบับค้นพบเนื้อหาเพิ่มเติมซึ่ง อ.ล้อม เพ็งแก้ว เชื่อว่า บรรพบุรุษฝ่ายมารดาของสุนทรภู่เป็นชาวเมืองเพชร

ประเภทนิทาน

เรื่องโคบุตร, เรื่องพระอภัยมณี, เรื่องพระไชยสุริยา, เรื่องลักษณวงศ์, เรื่องสิงหไกรภพ

ประเภทสุภาษิต

- สวัสดิรักษา- คาดว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 2 ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่เจ้าฟ้าอาภรณ์

- สุภาษิตสอนหญิง - เป็นหนึ่งในผลงานซึ่งยังเป็นที่เคลือบแคลงว่า สุนทรภู่เป็นผู้ประพันธ์จริงหรือไม่

- เพลงยาวถวายโอวาท - คาดว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่เจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋ว

ประเภทบทละคร

- เรื่องอภัยณุรา ซึ่งเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อถวายพระองค์เจ้าดวงประภา พระธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

ประเภทบทเสภา

- เรื่องขุนช้างขุนแผน (ตอนกำเนิดพลายงาม)

- เรื่องพระราชพงศาวดาร

ประเภทบทเห่กล่อม

แต่งขึ้นสำหรับใช้ขับกล่อมหม่อมเจ้าในพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กับพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เท่าที่พบมี 4 เรื่องคือ เห่จับระบำ, เห่เรื่องพระอภัยมณี, เห่เรื่องโคบุตร เห่เรื่องพระอภัยมณี, เห่เรื่องกากี


ตัวอย่างวรรคทองที่มีชื่อเสียงของสุนทรภู่

ด้วยความที่สุนทรภู่เป็นศิลปินเอกที่มีผลงานทางวรรณกรรม วรรณคดีมากมาย ทำให้ผลงานหลาย ๆ เรื่องของ สุนทรภู่ ถูกนำไปเป็นบทเรียนให้เด็กไทยได้ศึกษา จึงทำให้มีหลาย ๆ บทประพันธ์ที่คุ้นหู หรือ "วรรคทอง" ยกตัวอย่างเช่น

บางตอนจาก นิราศภูเขาทอง



ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย

ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ
สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย
ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป

ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ



ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา



บางตอนจาก นิราศอิเหนา


จะหักอื่นขืนหักก็จักได้
หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก
แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ


บางตอนจาก พระอภัยมณี


บัดเดี๋ยวดังหงั่งเหง่งวังเวงแว่ว
สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา
เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา
ประคองพาขึ้นไปจนบนบรรพต

แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน

(พระฤาษีสอนสุดสาคร)




แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ
ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งไรไม่สู้รู้วิชา
รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี

(พระฤาษีสอนสุดสาคร)



อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ
ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน
แค่องค์พระปฎิมายังราคิน
คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา



เขาย่อมเปรียบเทียบความว่ายามรัก
แต่น้ำผักต้มขมชมว่าหวาน
ครั้นรักจางห่างเหินไปเนิ่นนาน
แต่น้ำตาลว่าเปรี้ยวไม่เหลียวแล



ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร
ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้เกิดในใต้ฟ้าสุธาธาร
ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา

แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา
เชยผกาโกสุมประทุมทอง

แม้เป็นถ้ำอำไพใคร่เป็นหงส์
จะร่อนลงสิงสู่เป็นคู่สอง
ขอติดตามทรามสงวนนวลละออง
เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป

(ตอน พระอภัยมณีเกี้ยวนางละเวง ได้ถูกนำไปดัดแปลงเล็กน้อยกลายเป็นเพลง "คำมั่นสัญญา")


บางตอนจาก เพลงยาวถวายโอวาท


อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ
ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก
สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก
จึงค่อยชักเชือดฟันให้บรรลัย



อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก
แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย
เจ็บจนตายเพราะเหน็บให้เจ็บใจ





บางตอนจาก สุภาษิตสอนหญิง


มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท
อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์
จงมักน้อยกินน้อยค่อยบรรจง
อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน



จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น
อย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหู
ไม่ควรพูดอื้ออึ้งขึ้นมึงกู
คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ



เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา
จะพูดจาพิเคราะห์ให้เหมาะความ



รู้วิชาก็ให้รู้เป็นครูเขา
จึงจะเบาแรงตนช่วยขนขวาย
มีข้าไทใช้สอย ค่อยสบาย
ตัวเป็นนายโง่เง่าบ่าวไม่เกรง





บางตอนจาก ขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม


แม่รักลูก ลูกก็รู้ อยู่ว่ารัก
ใครอื่นสัก หมื่นแสน ไม่แม้นเหมือน
จะกินนอนวอนว่า เมตตาเตือน
จะจากเรือน ร้างแม่ ก็แต่กาย



ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ
เจ้าจงอตส่าห์ทำสม่ำเสมียน

(ขุนแผนสอนพลายงาม)


บางตอนจาก นิราศภูเขาทอง

ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้พูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจาฯ


บางตอนจาก นิราศพระบาท

เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น
เพราะดั้นด้นอยากลิ้มชิมรสหวาน
ครั้นได้รสสดสาวจากจาวตาล
ย่อมซาบซ่านหวานซึ้งตรึงถึงทรวง

ไหนจะยอมให้เจ้าหล่นลงเจ็บอก
เพราะอยากวกขึ้นลิ้นชิมของหวง
อันรสตาลหวานละม้ายคล้ายพุ่มพวง
พี่เจ็บทรวงช้ำอกเหมือนตกตาล...



ที่มาของวันสุนทรภู่

องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(UNESCO) ซึ่งเป็นผู้ที่มีหน้าที่ส่งเสริมและเผยแพร่ผลงาน ด้านวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกต่างๆ ทั่วโลก ด้วยการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก ในวาระครบรอบ 100 ปีขึ้นไป ประจำทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์คือ เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณและผลงานของผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลกให้ปรากฎแก่มวลสมาชิกทั่วโลก และเพื่อเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองร่วมกับประเทศที่มีผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ

ในการนี้ รัฐบาลไทยโดยคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ กระทรวงศึกษาธิการ จะเป็นผู้สืบค้นบรรพบุรุษไทยผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม เพื่อให้ยูเนสโกประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติและได้ประกาศยกย่อง "สุนทรภู่" ให้เป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก โดยในวาระครบรอบ 200 ปีเกิด เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2529 ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 นายเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการจัดตั้งสถาบันสุนทรภู่ขึ้น เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับชีวิตและงานของสุนทรภู่ ให้แพร่หลายในหมู่เยาวชนและประชาชนชาวไทยมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ทางรัฐบาลจึงได้กำหนดให้ วันที่ 26 มิถุนายน ของทุกปีเป็น "วันสุนทรภู่" ซึ่งนับแต่นั้น เมื่อถึงวันสุนทรภู่ จะมีการจัดงานรำลึกถึงสุนทรภู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ที่พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ "วัดเทพธิดาราม" และ ที่จังหวัดระยอง และมีการจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติคุณและส่งเสริมศิลปะการประพันธ์บทกวีจากองค์กรต่างๆ โดยทั่วไป

ทั้งนี้ ผลงานของสุนทรภู่ยังเป็นที่นิยมในสังคมไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมาไม่ขาดสาย และมีการนำไปดัดแปลงเป็นสื่อต่างๆ เช่น หนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์ เพลง รวมถึงละคร มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ ไว้ที่ ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของบิดาของสุนทรภู่ และเป็นกำเนิดผลงานนิราศเรื่องแรกของท่านคือ นิราศเมืองแกลง

กิจกรรมที่ควรปฏิบัติ ในวันสุนทรภู่

1. มีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติชีวิตและผลงาน
2. มีการแสดงผลงานประเภทนิทานฯ ของสุนทรภู่
3. มีการประกวด แข่งขัน ประชันสักวา ตอบคำถามเกี่ยวกับประวัติชีวิต และผลงานของสุนทรภู่

10:59

‘ธุรกิจนมปั่น’

เขียนโดย Thaihotnew |

ธุรกกิจนมปั่น เพื่อสุขภาพ...ยังไปได้ดี !!

“นมปั่น” กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคที่รักสุขภาพ ซึ่งธุรกิจขายนมปั่นในปัจจุบันก็มีการใส่ความคิดสร้างสรรค์ จากนมปั่นธรรมดาก็มีการพัฒนาปรุงแต่งรสชาติให้หลากหลายมากขึ้น และยังมีการแต่งหน้าด้วยท็อปปิ้ง จำพวกขนมต่าง ๆ ให้มีความสวยงามและน่ารับประทานมากขึ้น ธุรกิจนี้เป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหาอาชีพค้าขายอาหารการกินแนวเพื่อสุขภาพ...

แหม่ม-ชัชฎาภรณ์ แซ่ตั้ง ซึ่งทำธุรกิจเปิดร้านขาย “นมปั่น” มา 3 เดือนกว่า เล่าว่า ที่บ้านจะเปิดร้านทำเหล็ก อลูมิเนียม ปกติก็จะช่วยที่บ้านดูแลร้าน แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบค้าขายก็มักจะหาอาชีพเสริมที่เกี่ยวกับการค้าขายทำไปด้วย ซึ่งก็เคยทำอาหารส่งตามตึก ตามหอพัก จากนั้นก็ลงทุนกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ เปิดร้านอาหารตอนกลางคืน แต่ภายหลังได้ถอนตัวออกมา แล้วก็พยายามมองหาอาชีพอื่น ๆ ลงทุนทำต่อไป

“ได้เจอกับ ธนพล กำพุสิริ เพื่อนรุ่นพี่ที่เขาทำแฟรนไชส์นมปั่น อังเคิล โจ มิกซ์ มิลค์ พอได้พูดคุยแล้วก็ตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์นมปั่น 45,000 บาท มาทำ แต่ก่อนที่จะเปิดร้านนั้นเราจะต้องทำการสำรวจตลาดก่อนเป็นอันดับแรก โดยเราสำรวจดูแล้วว่าย่านที่เราจะเปิดร้านนั้นยังไม่มีร้านที่ขายนมปั่น และที่สำคัญจะต้องดูว่าย่านนั้นเป็นแหล่งชุมชนที่มีความพลุกพล่านด้วย ถึงจะดีสำหรับการเปิดร้านค้าขาย”

แหม่มบอกต่อไปว่า ตอนเปิดร้านใหม่ ๆ ก็จะทำการตลาดให้ร้าน ด้วยการเริ่มจากทำนมปั่นแล้วเดินแจกให้ลูกค้าย่านนั้นชิมฟรีเพื่อเป็นการโปรโมทร้าน ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว

สำหรับอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีในการทำร้านนมปั่นนั้น หลัก ๆ ก็มี... เครื่องปั่น, แก้วพลาสติกใสชนิดแข็งอย่างดี (ขนาด 12 ออนซ์ และ 16 ออนซ์), ถังน้ำแข็ง, หลอด, ขวดโหล เป็นต้น

เครื่องปั่นนั้นแหม่มแนะนำว่า ต้องเลือกซื้อเครื่องปั่นที่เป็นใบมีดไมโคร สำหรับปั่นน้ำแข็งได้โดยเฉพาะ และจะให้ดีควรจะมี 2 เครื่อง ไว้สลับใช้งาน เพราะถ้ามีเครื่องเดียวใช้ปั่นตลอดทั้งวันอาจจะทำให้เครื่องเสียเร็ว

ส่วนวัตถุดิบ หลัก ๆ ก็ประกอบ... นมโคสดแท้รสจืด (ต้องรับสดจากฟาร์มที่มีคุณภาพ), ผงแต่งกลิ่น ซึ่งจะมีหลากหลายกลิ่น อาทิ แคนตาลูป, สตรอเบอรี่, บลูเบอร์รี่, กล้วย ฯลฯ นอกจากนั้นก็จะเป็นพวก ท็อปปิ้งต่าง ๆ สำหรับโรยหน้า เช่น โอริโอ้, โอโจ้, เจลลี่, ฟรุตสลัด ฯลฯ

“นมปั่นจะมีรสชาติอร่อยหรือไม่อร่อยนั้น สำคัญอยู่ที่วัตถุดิบตัวหลัก คือนมโคสด ที่รับมาจากฟาร์ม จะต้องเป็นนมที่สดใหม่ และอีกจุดที่สำคัญยังอยู่ที่เคล็ดลับการนำมาปรุงแต่ง โดยจะเน้นหวานมันและหอม ซึ่งการปรุงก็อาจมีสูตรเฉพาะของแต่ละคน”

ขั้นตอนการปั่นนม จะไม่ใช้น้ำร้อนชงผสมกับผงแต่งกลิ่นก่อน และไม่มีการใช้น้ำเชื่อม เพราะจะทำให้รสชาติของนมปั่นไม่เข็มข้น และละลายเร็วอีกด้วย วิธีการคือจะใช้ระบบปั่นเย็น เพื่อให้ได้รสชาตินมปั่นที่เข้มข้น และน้ำแข็งก็อยู่ได้นานอีกด้วย ทั้งนี้ การทำนมปั่นเริ่มจากใช้แก้วพลาสติกที่ใส่ขายทำการตักน้ำแข็งให้ได้เต็มแก้วพอดี จากนั้นก็นำน้ำแข็งใส่ลงในเครื่องปั่น ใส่ผงแต่งกลิ่นตามที่ลูกค้าสั่งตามลงไป น้ำแข็งที่ใช้เป็นน้ำแข็งหลอดเล็ก ส่วนผงแต่งกลิ่นนั้นถ้าเป็นแก้ว 12 ออนซ์ ก็ใส่ 2 ช้อนชา ถ้าเป็นแก้ว 16 ออนซ์ ใส่ 3 ช้อนชา

ใส่นมข้นหวานเพื่อเพิ่มความหวาน ถ้าต้องการหวานมากก็ใส่มาก ถ้าหวานน้อยก็ใส่น้อยตามต้องการ ใส่นมจืดอีกเล็กน้อยเพื่อเป็นการเพิ่มความมัน สุดท้ายก็ใส่นมสดที่ทำการปรุงแต่งไว้ลงไปให้เต็มพอดีน้ำแข็ง จากนั้นก็ปั่นให้ละเอียดที่สุด เมื่อทำการปั่นจนละเอียดแล้วก็เทใส่แก้ว เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย จะได้นมปั่นพร้อมเสิร์ฟ แต่ถ้าลูกค้าต้องการโรยหน้าเพิ่มด้วยท็อปปิ้งต่าง ๆ ก็โรยตามลูกค้าสั่ง โดยโรย 2 อย่างคิดเพิ่ม 5 บาท

นมปั่นทำได้หลากหลายรสชาติ เช่น โกโก้ โอวัลติน แคนตาลูป สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ เผือก วานิลา กาแฟ ฯลฯ ราคาก็มีตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไป แล้วแต่รสชาติ ขนาดแก้ว โดยมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 14-15 บาทขึ้นไป และก็สามารถทำรายได้เพิ่มจากการขายขนมปังเย็น หรือขนมปังปิ้งควบคู่ไปด้วย

ร้านของแหม่มเปิดขายทุกวัน เวลา 09.00-22.30 น. โดยยู่ตรงปากซอยโชคชัย 4 ซอย 37 เบอร์โทรศัพท์ร้านคือ 08-1563-4398 08-1563-4398 หรือใครต้องการปรึกษาการทำธุรกิจนี้แบบแฟรนไชส์ ก็ติดต่อธนพลได้ที่เบอร์ 08-5557-3738 08-5557-3738 ทั้งนี้ ถ้าชอบขายอาหารสุขภาพ และมีทำเลดี บางที “ธุรกิจนมปั่น” อาจใช่เลย !!

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน



คำค้นหา

3สถิติรวด (1) กินเน็ตบุค (1) กูเกิล (1) เกย์ (1) ขายเสื้อผ้าสตรี (1) 'ข้าวเหนียวมูน-น้ำกะทิทุเรียน' (1) ไข้หวัด2009 (1) คลับแอสทีเรีย (1) คลิป ธัญญ่า เป๊ก (1) คลิปเสียง ธัญญ่า (1) เจ้าแม่กวนอิม-ลิ้มกอเหนี่ยว (1) ซีเอสไอ ไมอามี (1) ซู ซาน บอยล์ (1) เซ็นทรัลเวิลด์ (1) เซี่ยงไฮ้ (1) ฐิตินาถ ณ พัทลุง (1) เดอะกิ๊ก3 (1) ติดบุหรี่ (1) ตี 10 (1) แต่งหน้า (1) ถังดับเพลิง (1) ทรู อคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่น7 (1) ทรู อคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่น7 (ทรู เอเอฟ7) (2) ธัญญ่า เป๊ก พิ้งกี้ (2) ‘ธุรกิจนมปั่น’ (1) น้องซัน ศัลยกรรม (1) บันทึกชื่อ (1) เบนซ์ นางเอกเดอะกิ๊ก 3 (1) ปอv12 (1) แปรรูปลอย (1) ผีมาเข้าฝัน (1) ผู้ชาย (1) แผน 555 (1) แผนสร้างความปรองดองแห่งชาติ (1) ฝ้าย บุศริน (1) พจน์ อานนท์ (2) พจน์ แอนนี่ ฟิลม์ (1) พจน์ แอนนี่ ฟิลม์ จุ้น (1) พจน์ แอนนี่ ฟิลม์ ตีสิบ (1) พระปราโมทย์ (1) พิ้งกี้ (1) พิ้งกี้ เป๊ก (1) ฟิล์ม-รัฐภูมิ (5) ฟิล์ม แอนนี่ บรู๊ค (6) รายการ ตีสิบ (1) ลูกสาวเข้าฝันแม่ (1) เลดี้ กาก้า (1) เลิกบุหรี่ (1) "สุนทรภู่" (1) โหรวารินทร์ (1) เอ๊กซโป (1) แอนนี่ บรู๊ค (6) ฮวงจุ้ย (1) เฮียฮ้อ (1) เฮียฮ้อ จุ้น แอนนี่ (1) facebook (1) gay (1) google (1) Toyota New Vios (1)
Subscribe