ThaiHotNew รายงานข่าว ประเด็นร้อน!

ข่าวร้อน ประเด็นเด็ดของเมืองไทย ทุกสถานการณ์ติดตามได้ที่นี้ ThaiHotNew.Blogspot.com


หลังสถานการณ์กระชับวงล้อม-ขอคืนพื้นที่ย่านราชประสงค์ จากม็อบ นปช. โดยกำลังทหาร ซึ่งตามมาด้วยการเกิดจลาจลเผาอาคารสถานที่สำคัญทางธุรกิจ กระแสหลักก็อยู่ที่เรื่องการเยียวยาฟื้นฟูทางเศรษฐกิจให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบอยู่พักหนึ่ง และเมื่อมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล กระแสเรื่องผู้เสียชีวิต ก็แรงขึ้นมา

ทั้ง 2 กระแสที่ว่านี้ ณ ขณะนี้ถือว่าแรงพอกัน

และก็ยังมีอีก 2 กระแสแทรกซ้อนอยู่ด้วย ??

ทั้งนี้ กับอาคารสถานที่ที่ถูกเผานั้น แม้จะมีหลายแห่ง แต่ “เซ็นทรัลเวิลด์” ก็ดูจะได้รับความสนใจมากกว่าแห่งอื่น เพราะเปรียบ เสมือนแลนด์มาร์คทางธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย ซึ่งเมื่อเกิดเหตุถูกเผาก็มีกระแสเรื่อง “อาถรรพณ์พื้นที่” เกิดขึ้น อีกครั้ง เนื่องจากบริเวณที่ตั้งเคยเป็น “วังเพ็ชรบูรณ์” โดยเรื่องนี้ “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” เคยสะท้อนไปแล้ว ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกกระแสหนึ่งคือเรื่อง “ฮวงจุ้ย”

กับเรื่อง “ฮวงจุ้ย” ที่เกี่ยวกับ “เซ็นทรัลเวิลด์” นั้น ทาง ซินแสภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ประธานสถาบันศาสตร์แห่งชีวิตฯ ระบุว่า... ห้างแห่งนี้ตั้งแต่ยุคแรกที่ใช้ชื่อว่า “เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์” เริ่มก่อสร้างประมาณปี 2525 ซึ่งเป็นช่วงที่จะเปลี่ยนแปลงยุคฮวงจุ้ย จากยุค 6 สู่ยุค 7 ซึ่งเป็นยุคดิน ยุคแห่งการสรุปจบฮวงจุ้ย 180 ปี และเปิดดำเนินการในช่วงปี 2532-2533 ถือว่าเป็นยุค 7 ของฮวงจุ้ย ซึ่งทิศทางของห้างในขณะนั้น มีประตูทางเข้าออกห้างหลายทิศทาง ทั้งทางถนนราชดำริ หันประตูไปทางถนนสุขุมวิท ทางถนนเพชรบุรี ทางด้านวัดปทุมวนาราม และมีการหักมุมอาคารด้านแยกราชประสงค์ หันหน้าประตูไปที่โรงแรมเอราวัณ

“แต่ละประตูเข้าออก จะมีอิทธิพลดวงดาวที่จะส่งเสริมให้ รุ่งเรือง หรือทิศทางที่เสียที่จะดึงสิ่งไม่ดีเข้ามาสร้างปัญหา สร้าง ความเสียหายให้กับอาคารได้ เสมือนหนึ่งซื้อเครื่องทีวีมาแล้วต้องมีเสาอากาศ ที่เมื่อหันไปแต่ละทิศทาง ก็จะเจอคลื่นที่เข้ามาให้เห็นในจอภาพที่ไม่เหมือนกัน”

ซินแสภาณุวัฒน์ ระบุต่อไปว่า... ห้าง “เซ็นทรัลเวิลด์” นั้น จากการที่เคยได้รับเชิญให้ไปพูดเรื่องการไหว้รับตรุษจีนในห้างเมื่อต้น ปี 2553 ที่ผ่านมา และเคยไปดูฮวงจุ้ยของร้านค้าหลายแห่งในห้างแห่งนี้ ก็เคยได้วิเคราะห์เรื่องของ “สี่แยกเทพเจ้า” ที่มีเทพเจ้าอยู่มากมายหลายองค์ และก็เคยบอกถึงเรื่องฮวงจุ้ยไว้

ประตูใหญ่ของห้างที่หันไปทางถนนราชดำรินั้น ก็ถือว่าเป็นทิศทางที่ดี แต่จากการที่มีประตูเข้าออกหลายทางทำให้มีจุดที่เสีย ที่ไม่ดี อยู่ตรงประตูใหญ่ตรงกลาง จะดึงปัญหาเข้ามาให้เกิดการขัดแย้ง แตกแยกกันภายในห้าง อีกทั้งจะดึงคนให้มีอันเป็นไป จนถึงขั้นจะดึงให้มี “ปัญหาฟืนไฟ” เข้ามาในอาคาร เพียงแต่จะถึงเวลาเมื่อไหร่เท่านั้นเอง และเรื่องจุดนั่งทำงานของผู้บริหาร ถ้าอยู่ในจุดเสีย ของอาคาร ก็ทำให้มีปัญหาได้เช่นกัน

เมื่อฮวงจุ้ยเปลี่ยนเข้าสู่ยุค 8 ในปัจจุบัน อิทธิพลจะครอบคลุมตั้งแต่ปี 2547-2566 จุดไม่ดีนอกจากประตูใหญ่แล้ว เมื่อมองจากถนนราชดำริเข้าสู่ตัวอาคาร จุดไม่ดียังมีอยู่ด้านซ้ายมือด้านถนนสุขุมวิท ที่หันไปทางโรงพยาบาลตำรวจทั้งหมด และจุดเสียอีก 2 จุดอยู่ด้านหลังขวามือติดกับคลองด้านถนนเพชรบุรี ซึ่งใครไปอยู่ในจุดเหล่านั้นการทำการค้าก็จะมีปัญหาไม่รุ่งเรือง หรือถ้าค้าขายดีก็จะมี ปัญหาสุขภาพ การขัดแย้ง แตกแยก

“ส่วนประตูที่อยู่ด้านหักมุมตึก ที่อยู่ตรงข้ามแยกราชประสงค์ ก็ไม่ดี จะดึงปัญหา มีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้นภายใน อาคาร และดึงให้เกิดปัญหาฟืนไฟได้เช่นเดียวกัน”

ซินแสภาณุวัฒน์แจกแจงถึงฮวงจุ้ย “เซ็นทรัลเวิลด์” อีกว่า... จะเห็นว่าประตูนี้ไปประจันกับเจ้าที่เอราวัณฝั่งตรงข้าม จึงมีการสร้างองค์ “พระตรีมูรติ” ขึ้นมาเพื่อเป็นการปะทะป้องกัน พร้อมกับสร้าง “ฐานรูปสามเหลี่ยม” แต่ “ปลายแหลมกลับพุ่งเข้าหาประตูตัวเอง” ซึ่งถือว่า “ไม่ดี” ควรจะทำฐานเป็นวงกลมหรือแปดเหลี่ยมจะดีกว่า และอันที่จริงไม่ควรกังวลว่าเจ้าที่เอราวัณจะมีผลกระทบกับตัวอาคาร เพราะว่าเทพ หรือพระภูมิเจ้าที่นั้น จะปกป้องคุ้มกันคนดี ๆ ไม่ให้ร้ายใคร เว้นแต่ใครทำไม่ดีก็จะลงโทษคนเหล่านั้น

พร้อมกันนี้ ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ฮวงจุ้ยรายนี้ยังบอกด้วยว่า ...ต่อไปเมื่อมีการปรับปรุงก่อสร้าง “เซ็นทรัลเวิลด์” และเปิดทำ การใหม่ ภาพรวมทางธุรกิจก็จะยังคงดีอยู่ เพียงแต่ต้องปรับทิศทางเข้าออกใหม่ให้เหลือทิศน้อยลง เพราะจะทำให้จุดไม่ดีในอาคารน้อยลง ส่วนจำนวนประตูจะมากเท่าเดิมก็ได้ พร้อมกับควรจะมีการจัดสรรพื้นที่ภายในให้สอดคล้องกับจุดที่ดี-จุดที่ไม่ดี จุดที่ไม่ดีก็ไม่ควรเป็นร้านค้า ควรเป็นโถงทางเดิน เป็นห้องน้ำ ห้องเก็บของ ส่วนจัดนิทรรศการอื่น ๆ แล้วความวุ่นวายก็จะน้อย ก็จะยังมีความรุ่งเรืองได้ต่อไปอีก

“และควรปิดประตูทิศที่หันไปทางวัดปทุมวนาราม เปลี่ยนหันไปทางถนนเพชรบุรี ประตูที่หันไปทางทิศโรงพยาบาลตำรวจ ถนนสุขุมวิท ก็ควรปรับเปลี่ยนหันไปทางถนนราชดำริ ซึ่งเป็นทิศเดียวกับประตูด้านหน้า จุดเสียก็จะน้อยลงไปครึ่งหนึ่ง จะทำให้ความ วุ่นวายน้อยลง หลาย ๆ อย่างจะดีขึ้น” ...ซินแสภาณุวัฒน์ระบุ

นี่ก็เป็นเรื่องของ “ฮวงจุ้ย” ที่เกี่ยวกับ “เซ็นทรัลเวิลด์”

ยึดโยงกับการ “ถูกเผา” และอนาคตที่น่าติดตามดู??.

ที่มา เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/

03:28

'ถังดับเพลิง' ระงับอัคคีภัย

เขียนโดย Thaihotnew |


ตรวจเช็กพร้อมใช้...ลดภัยสูญเสีย!!

ภาพเปลวเพลิงที่ลุกท่วมกรุงเทพมหานครอย่างบ้าคลั่งที่ผ่านมา ถือเป็นเหตุการณ์เศร้าสะเทือนใจคนไทยทั่วประเทศ เนื่องจากไฟที่เผาทำลายบ้านเมืองนั้นได้ถูกจุดขึ้นจากน้ำมือคนไทยเอง หลังเพลิงสงบยังคงมีกลิ่นควันจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศเพื่อรำลึกถึงความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลที่ยากจะประเมินค่า พร้อมคำถามที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกหรือไม่...?!?

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้หลายคนเกิดความหวาดกลัวอัคคีภัยทุกประเภทที่ อาจเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราควรให้ความสำคัญ ซึ่ง “ถังดับเพลิง” ถือเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่เชื่อว่าเกือบทุกบ้านมีติดตั้งไว้เพื่อป้องกันเพลิงไหม้ แต่มั่นใจหรือไม่ว่าเราดูแลตรวจเช็กอุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้พร้อมใช้งานแล้ว...

สมเชษฐ กองเขน ผู้ อำนวยการส่วนเครื่องจักรกลสาธารณภัย สำนักมาตรการป้องกันสาธารณภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ให้ความรู้เกี่ยวกับถังดับเพลิงที่เรา มีไว้ประจำบ้านเพื่อใช้ระงับ อัคคีภัยว่า โดยพื้นฐานทั่วไปการเกิดอัคคีภัยจริง ๆ แล้วเกิดขึ้นยากเนื่องจากต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่างด้วยกันคือ 1.เชื้อเพลิง 2.ความร้อนที่สูงมาก 3.อากาศ (ออกซิเจน) จึงจะทำให้เกิดไอระเหยของคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นมา ซึ่งประเภทของเพลิงนั้นเป็นอีกพื้นฐานที่เราต้องทราบก่อนเพื่อนำไปสู่การเลือกใช้ถัง ดับเพลิง โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1.ประเภท A คือ เพลิงที่เกิดจากเชื้อเพลิงธรรมดา เช่น ไม้ ผ้า กระดาษ พลาสติก ยาง เป็นต้น 2.ประเภท B คือ เพลิงที่เกิดจากก๊าซของเหลวติดไฟ ไข และน้ำมันต่าง ๆ 3.ประเภท C คือ เพลิงที่เกิดกับอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือวัตถุที่มีกระแสไฟฟ้า เช่น สายไฟ 4.ประเภท D คือ เพลิงที่เกิดจากสารเคมีติดไฟได้ ส่วนใหญ่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม

ถังดับเพลิงส่วนใหญ่ที่ เรารู้จักนั้นมี 3 สี ได้แก่ สีแดง สีเหลือง และสีเขียว โดยเฉพาะสีแดงเราจะพบเห็นบ่อยตามบ้านเรือนประชาชนและสถานที่ราชการต่าง ๆ แต่ถ้าสังเกตดี ๆ จะพบว่า ยังแบ่งเป็น 2 แบบอีกด้วย คือ แบบบรรจุสารเคมี ได้แก่ผงเคมีแห้งที่ผ่านการอบ แห้งแล้ว เวลาพ่นออกมาจะเป็นละอองแป้งสีขาว ๆ ใช้ได้ง่ายครอบคลุมเพลิงทุกประเภท แต่มีข้อเสียคือจะ ทำให้เหลือผงสีขาว ๆ เลอะเทอะเปรอะเปื้อน และ แบบบรรจุก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สามารถสังเกตได้คือ จะมีกรวยรูปแตรหรือทรงยาวอยู่ที่สายดับเพลิง เวลาพ่นก๊าซออกมาจะเป็นเหมือน หมอกปกคลุมแต่ไม่ทิ้งคราบสกปรกเหมาะสำหรับใช้ในปั๊มน้ำมัน เพราะไม่ทิ้งสารตกค้างทำ ให้พื้นที่สะอาดแต่สามารถใช้ได้กับเพลิงประเภท B และ C เท่านั้น สำหรับอันตรายจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถ้านำไปใช้ในที่อับอาจทำให้คนที่อยู่ข้างในขาดอากาศหายใจ ส่วนอันตรายของ ผงเคมีแห้ง ถ้าสัมผัสถูก บริเวณผิวหนัง ดวงตา จะมีอาการระคายเคือง ปวดแสบ ปวดร้อน แต่สามารถล้างน้ำ ออกได้

ส่วน ถังดับเพลิง สีเหลือง เป็นถังดับเพลิง ชนิดน้ำยาเหลวระเหยบีซีฮาลอน คุณสมบัติมีความเย็นจัด เหมาะสำหรับสถานที่ที่ใช้อุปกรณ์คอม พิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสาร เนื่องจากไม่ทิ้งคราบสกปรก เพราะเป็นสารสะอาด ส่วน ถังสีเขียวคุณสมบัติคล้าย ๆ สีเหลือง แต่ดีกว่าตรงที่น้ำยาเป็นสาร ระเหยที่ไม่เป็นอันตรายต่อ สิ่งแวดล้อม แถมช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย แต่ทั้ง2 ชนิดนี้ค่อนข้างแพงจึงไม่เป็นที่นิยม

ขนาดของถังดับเพลิง ส่วนใหญ่ที่ใช้กันทั่วไปได้แก่ 5, 10 และ 15 ปอนด์ โดยไม่ควรใช้เกิน 10 กก. หรือ 15 ปอนด์ หรือหากต้องการพกพาไว้ในรถจะใช้แค่ 2 กก. หรือ 5 ปอนด์ และในการติดตั้งถังดับเพลิงรวมความสูงของถังจากพื้นไม่ควรสูงเกิน 150 ซม. เพื่อให้หยิบใช้ได้สะดวก ในการเลือกซื้อถัง ดับเพลิงก็สำคัญจะต้องได้มาตรฐาน มอก.332-2537 ด้วย เนื่องจากจะอ้างอิงเกี่ยวกับระยะเวลาการฉีดใช้

เมื่อมีถังดับเพลิงแล้วไม่ใช่จะปล่อยให้ติดตั้งไว้เฉย ๆ รอให้เกิดเหตุอัคคีภัยแล้วค่อยนำออกมาใช้ สมเชษฐ แนะนำวิธีการดูแลรักษาถังดับเพลิงว่า การดูแลรักษาภายนอกถังควรตรวจสอบสภาพของสาย ฉีด ไม่แตก หัก รั่ว และตัวถังไม่ผุกร่อนขึ้นสนิม ส่วนการดูแลรักษาน้ำยาในถังนั้นหมั่นพลิกถังดับเพลิงกลับหัวลง เพื่อตรวจสอบว่าน้ำยาดับเพลิงในถังยังคงสภาพเดิม (เป็นของเหลว) ไม่จับตัวเป็นก้อนแข็ง และเช็กแรงดันของถังดับเพลิงที่มาตรวัดว่า ถ้าเข็มยังอยู่ในแถบสีเขียว แสดงว่ายังใช้งานได้ แต่ถ้าต่ำลงมาที่ขีดแดงควรเติมน้ำยาได้แล้วซึ่งถังซื้อใหม่มีอายุการใช้งาน 5-7 ปี หรือขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมในการติดตั้ง แต่ควรเติมน้ำยาทุก 3-5 ปี เนื่องจากคุณภาพจะเสื่อม เพราะในเรื่องของอัคคีภัยเครื่องมือป้องกันต่าง ๆ ต้องใช้งานได้ 100 เปอร์เซ็นต์ หากไม่มีคุณภาพใช้งานไม่ได้ก็ทำให้เกิดเหตุรุนแรงได้

แต่หากบ้านไหนยังไม่มีถังดับเพลิงประจำบ้านวิธีการเบื้องต้นในการดับเพลิงส่วนมากมักเข้าใจผิดคิดว่าเอาน้ำไปสาดเยอะ ๆ แต่การดับเพลิงจริง ๆ คือ การลดอุณหภูมิ ความร้อนให้ต่ำและคลุมไม่ให้อากาศเข้าหรืออาจจะใช้ผ้าชุบน้ำคลุมไฟ เช่น กองไฟเศษขี้เลื่อย เศษกระดาษ หากฉีดน้ำใส่จะทำให้กระจายได้ และการฉีดน้ำที่ถูกวิธี ควรฉีดไปที่ฐาน ของไฟ

การระงับอัคคีภัยให้มีประสิทธิภาพลดความเสียหาย จึงควรหมั่นตรวจเช็กอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา และอย่าประมาทเผอเรอเพราะอาจทำให้บ้านที่อยู่อาศัยวอดวายได้ ที่สำคัญ ต้องมีสติอย่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เพราะเปลวเพลิงจะลุกลามรุนแรงก็ต่อเมื่อเราปล่อยให้มันไหม้นานเกิน 3-4 นาทีไปแล้ว ดังนั้นเรายังพอมีเวลาที่จะปกป้องชีวิตและทรัพย์สินได้ตามวิธีที่แนะนำไปแล้วข้างต้น.

วิธีการใช้ถังดับเพลิงแบบง่าย ๆ

1. ดึง คือ เมื่อยกถังดับเพลิงออกมาตั้งแล้ว สังเกตบนถังจะมีสลักเหมือนกระเดื่องระเบิดสอดไว้ค่อย ๆ ดึงออก

2. ปลด คือ ปลดสายหัวฉีดออกมาและถือให้มั่นคง

3. กด คือ เล็งหัวฉีดไปที่ฐานของไฟ จากนั้นกดคันบังคับเปิดน้ำยา

4.ส่าย คือ ส่ายสายฉีดไปให้ทั่วฐานของไฟจน ไฟดับ (พยายามเข้าใกล้ประมาณ 2-4 เมตร เป็นระยะหวังผลได้ดี)

ทีมวาไรตี้ เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/


แผนสร้างความปรองดองแห่งชาติ หาทางออก หรือ เจอทางตัน

เมื่อตอน 3 ทุ่ม วันจันทร์ที่ผ่านมา (3 พ.ค.) กับเนื้อหาในการออกแถลงการณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดย ?อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ? นายกรัฐมนตรี ดูน่าฟังมากกว่าการออกทีวีพูลครั้งไหนๆ เป็นเพราะนายกฯ ระบุถึงแผน 5 ข้อ เพื่อสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศไทย

ขณะนั้นอยู่ในระหว่างที่มีการอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 โดยสมาชิกวุฒิสภา ทำให้มีเสียงขานรับจากที่ประชุม พร้อมๆ กับการได้รับสัญญาณตอบกลับที่ดีจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.

เรื่องจึงดูเหมือนจะลงเอยตรงที่ นายกฯ ยอมให้มีการยุบสภา ภายในเดือน กันยายน นับเวลาแล้วจากวันนี้ ก็ร่วม 5 เดือน จากนั้นประเทศไทยจะเข้าสู่การเลือกตั้งอีกครั้งในวันที่ 14 พ.ย.53 ตามการประกาศของนายกรัฐมนตรี

โดย ?นายกฯ อภิสิทธิ์? ไม่ได้บอกว่าจะรอฟังคำขานรับ แต่ระบุชัดไปเลยว่าจะคงแนวทางนี้ ในข้อแม้ที่ว่าจะต้องไม่มีความขัดแย้งหรือสร้างความรุนแรง ก่อกวน ฯลฯ เกิดขึ้นอีก ไม่เช่นนั้นกำหนดการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งจะไม่เกิดขึ้น

จากนั้นก็จบตรงที่การนำเข้าสู่พิธีเฉลิมฉลองวันฉัตรมงคล

หากเรื่องเป็นเช่นนั้นจริงคงสวยงามไม่แพ้คำพูดสวยหรูที่เกิดขึ้น แต่นั่นหมายความว่าแผนการ 5 ข้อที่นายกฯ เสนอจะต้องใช้ได้จริงในทางปฏิบัติด้วย แล้วมันจะง่ายดายเช่นนั้นหรือไม่

ข้อ 1.การขอความร่วมมือในการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ให้ถูกนำเข้าสู่ความขัดแย้งทางการเมือง

2.การแก้ปัญหาพื้นฐานความไม่เป็นธรรมในสังคม โดยเฉพาะปัญหาปากท้องความเป็นอยู่

3.การทำให้สื่อทำหน้าที่สร้างสรรค์ไม่เป็นเครื่องมือสร้างความแตกแยก

4.การชำระสะสางด้วยกฎหมาย โดยเฉพาะความสูญเสียครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น 3 รอบในเดือนเมษายนที่ผ่านมา

5.การดำเนินกติกาทางการเมืองเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย อาทิ การแก้รัฐธรรมนูญ และการเอาผิดจากผู้ละเมิดกฎหมายในการชุมนุม

หากพิจารณาโดยเนื้อแท้จะเห็นว่า ทั้งหมดเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง และมีความเรื้อรัง โดยเฉพาะบางจุดบางตอนเป็นปัญหาที่รัฐบาลไม่เคยแก้ได้หรืออาจไม่ใส่ใจที่จะแก้อย่างจริงจัง เช่น ข้อ2 นอกจากนี้ประเด็นเรื่องสื่อก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการพยายามดำเนินการ แต่หลายครั้งที่สื่อยังคงติดอยู่กับข้อจำกัดเดิมๆ ที่มาจากภาครัฐเอง สุดท้ายยกตัวอย่างข้อ 5 รัฐบาลโดยพรรคประชาธิปัตย์จะยอมตามข้อเสนอพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็มีกรณีถึงขั้นพิพาทกันเองระหว่างเลขาฯพรรค กับประธานที่ปรึกษาของพรรค

เพียงกรณีตัวอย่างบางเรื่องก็ดูจะเป็นเรื่องยากที่ต้องใช้เวลา เช่นนั้นภายใต้กรอบ 5 เดือนก่อนมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ประกาศิต 5 ข้อเพื่อนำไปสู่ความปรองดองแห่งชาติ จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่เป็นเรื่องน่าติดตาม

ทีมข่าว Mthai



อึ้ง! เด็กชายวัย 2 ขวบชาวอินโดฯติดบุหรี่งอมแงม วันละ 40 มวน

26 พ.ค.เว็บไซต์ เดอะซัน รายงานข่าวเด็กน้อยวัย 2 ขวบชาวอินโดนีเซียมีพฤติกรรมที่แปลกไปกว่าเด็กทั่วไป โดยเด็กชาย อาร์ดิ ริซัล มีพฤติกรรมสูบบุหรี่และติดบุหรี่อย่างหนัก วันหนึ่งต้องสูบบุหรี่ถึง 40 มวน จนกระทั่งร่างกายมีรูปร่างอ้วน และชอบนั่งรถเด็กเล่นสูบบุหรี่แบบไม่แคร์สายตาใคร

เหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเมื่อ 18 เดือนก่อน ผู้เป็นพ่อให้เด็กชายอาร์ดิ ริซัล ลองสูบบุหรี่ดู แต่ไม่คิดว่าจะสูบจนติดขนาดนี้ ทั้งนี้รายงานข่าวเผยว่า หากวันไหนเด็กชายอาร์ดิ ริซัลไม่ได้สูบ จะเกิดอารมณ์โมโหรุนแรง กรีดร้อง และเอาหัวโขกกำแพง



อย่างไรก็ตาม ผู้เป็นพ่อกล่าวว่า การสูบบุหรี่ของลูกชายไม่ได้สร้างปัญหาให้กับครอบครัวแต่อย่างใด แม้ว่าทางการอินโดนีเซียเสนอรถยนต์ให้เป็นรางวัล หากทำให้ลูกชายเลิกสูบได้ แต่เขาก็ปฏิเสธไป

ภาพประกอบจาก Thesun.co.uk


กูเกิลเผยข้อมูลการจราจรในโลกออนไลน์ว่า เฟซบุคเป็นเว็บไซต์ที่มีคนล็อกอินเข้ามากที่สุดแม้ถูกวิจารณ์เรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

กูเกิลแอดแพลนเนอร์เผยข้อมูลที่เก็บจากทั่วโลกว่า แต่ละเดือนมีผู้ล็อกอินเข้าเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟซบุคดอทคอม 540 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 35 ของผู้ท่องเน็ตทั่วโลก และมีผู้ชมหน้าเว็บในเฟซบุค 570,000 ล้านหน้า คิดเป็น 8 เท่าของหน้าเว็บในยาฮูที่มีผู้ชมเดือนละ 490 ล้านคน เว็บไซต์ที่มีคนล็อกอินมากเป็นอันดับสอง ตัวเลขนี้สนับสนุนสิ่งที่เฟซบุคอ้างว่าสมาชิกยังไม่หนีหายไปแม้ถูกกลุ่มการ เมือง กลุ่มผู้บริโภคและกลุ่มความเป็นส่วนตัวเรียกร้องให้เพิ่มมาตรการคุ้มครอง ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ส่วนเมื่อวานนี้มีผู้ร่วมลงชื่อในเว็บไซต์ “เราเลิกใช้เฟซบุค” จำนวน 23,515 คนก่อนที่จะมีการประท้วงใหญ่ในวันที่ 31 พ.ค.นี้ คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 0.006 ของสมาชิกเฟซบุคที่มีมากกว่า 400 ล้านคน

เฟซบุคปรับเปลี่ยนหน้าตั้งค่าความเป็นส่วนตัวใหม่เมื่อวันพุธที่ผ่านมาให้ ผู้ใช้ควบคุมเนื้อหาได้ด้วยการตั้งค่าครั้งเดียว และลดจำนวนข้อมูลที่เดิมเป็นข้อมูลสาธารณะลงไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งให้ผู้ใช้สามารถควบคุมได้มากขึ้นว่าจะให้แอพพลิเคชันหรือเว็บไซต์ภาย นอกเข้าถึงข้อมูลได้หรือไม่ อย่างไรก็ดี ยังมีเสียงเรียกร้องให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าข้อมูลทุกอย่างเป็นส่วนตัวแล้ว เลือกเป็นกรณีไปว่าจะแบ่งปันข้อมูลหรือไม่ แต่เฟซบุคไม่เห็นด้วยโดยแย้งว่าบริการนี้ตั้งอยู่บนแนวคิดว่าผู้ใช้ต้องการ ติดต่อและแบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนและผู้คนรอบข้าง.

ที่มา mcot news


โหรวารินทร์เผยเสื้อแดงแก้กรรมให้”แม้ว”ไม่ ช่วย ต้องรอหมดกรรมก่อนกลับไทยได้ ฟันธง”อภิสิทธิ์”ยังมีดวงนั่งนายกฯถึงปีหน้า บอกเปิดนิมิตรเห็นอดีตนายกฯ ตายอยู่นรก โหรทหารติงเจ้าอาวาสวัดแก้วฟ้าไม่ควรใช้วัดทำพิธีต่ออายุ”ทักษิณ”ต้องแยกให้ ออกอสูรหรือเทพ

นายวารินทร์? บัววิรัตน์เลิศ โหรชื่อดัง จ.เชียงใหม่หรือโหรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงจะจัดพิธีแก้กรรมและทำบุญในวันเกิดครบ รอบ 60 ปีให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในวัดแก้วฟ้า ว่า คนป่วยถ้าไม่หาหมอโดยตรง ให้คนอื่นมาแทนจะหายหรือไม่ ซึ่งกรรมนี้ของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถแก้ได้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ท่านได้รับวิบากกรมอยู่ ดังนั้นจึงต้องรับกรรมจนกรรมหมดไป ส่วนพิธีกรรมที่ทำภายในวัดน่าจะเป็นการข่มขวัญมากกว่า แต่คงไม่มีผลอะไร ซึ่งดวงของ พ.ต.ท.ทักษิณยังมีโอกาสได้กลับไทย แต่ไม่ใช่ช่วงนี้ เพราะต้องรอให้วิบากกรมผ่านไปก่อนจึงจะกลับได้ และไม่ว่า จะทำอย่างไรก็ไม่มีผล เพราะดวงการบริหารบ้านเมืองขณะนี้ยังเป็นนายอภิสิทธิ์? เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่น่าจะดำรงตำแหน่งยาวถึงปีหน้าที่จะมีการยุบสภา

“กลุ่มต่างๆที่มาขับเคลื่อนในเวลานี้นั้น ไม่ใช่เวลาของเขา เพราะไม่มีสาเหตุอะไรให้ออกมา และยังทำให้บ้านเมืองเราวุ่นวายมากกว่า และยิ่งออกมาจะยิ่งยุ่ง ทั้งนี้ผมได้เปิดนิมิตเห็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งที่ได้เสียชีวิตไป แล้วอยู่ในข้างล่างนรก ส่วนอดีตนายกฯอีกคนหนึ่งที่เห็นเป็นเหตุการณ์ข้างหน้า เป็นกรรมของคนที่เคยทำให้กับบ้านเมือง” นายวารินทร์ กล่าว

ด้านนายนิพนธ์ โลหิตเสถียร ที่ปรึกษาด้านโหราศาสตร์ของนายทหารระดับสูง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงจะจัดพิธีแก้กรรมและสวดทำพิธีหงายบาตร ให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ? ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในวัดแก้วฟ้าว่า ปกติการทำพิธีหงายบาตรจะทำในสิ่งที่เป็นมงคล เพื่อต้องการให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องบนให้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้อยากให้เจ้าอาวาสวัดแก้วฟ้าที่เป็นผู้จัดพิธีนี้ตอบคำถามสังคมว่า เหตุใดจึงต้องมีพระจำนวน 109 รูป ให้นั่งใน 8 ทิศ และมีเหตุผลใดในการจัดรูปแบบนี้ ซึ่งถ้าทำพิธีนี้ไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ สิ่งที่จะเกิดขึ้นจะเป็นอัปมงคล และเกิดความเสียหายต่อสิ่งที่อยู่พิธีการได้ และเจ้าอาวาสต้องรับผิดชอบหากในการประกอบพิธีกรรมมีการนำรูปของบุคคลผู้มี วาสนา และเป็นที่รักของปวงชนทั้งประเทศไปอยู่ในสถานที่นั้น แล้วทำให้บุคคลในรูปนั้นไม่สบายขึ้นมา และหากมีคนล้มตายจากพิธีกรรมนี้ เจ้าอาวาสจะรับผิดชอบอย่างไร

“วัดเป็นสถานที่ในการทำความดี ไม่ได้เอาไปต่ออายุบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บุคคลที่สำคัญของประเทศชาติ ดังนั้นจึงเป็นความไม่ถูกต้องที่วัดทำกระทำการแบบนี้ และถ้าเจ้าอาวาสมีเจตนาทำให้สังคมดีขึ้น เจ้าอาวาสต้องแถลงถึงเรื่องราวทั้งหลาย และบทสวดนั้นต้องเป็นภาษไทยเพื่อจะได้รู้ว่า มีความหมายะไร? ถ้าสวดเป็นบาลี แล้วสวดมั่วๆจะส่งผลอีกทางหนึ่ง เพราะขณะนี้เป็นการประลองกำลังระหว่างความดีกับความไม่ดี สิ่งที่อยากฝากเตือนเจ้าอาวาสคือ ถ้าอสูรจำแปลงร่างเป็นเทพ ท่านจะมองออกหรือไม่ว่า อะไรเป็นอสูรหรือเทพ และหากเป็นอสูรจะต้องถูกทำลาย ไม่ว่าบริวารของอสูรจะมีมากเท่าไรต้องถูกทำลาย เพราะความดีย่อมอยู่เหนือความไม่ดี ขอให้เจ้าอาวาสไตร่ตรองให้ดี ซึ่งพิธีนี้น่าจะมีพิธีที่ซ้อนแฝงอยู่” นายนิพนธ์ กล่าว

ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก มติชนออนไลน์

พิชัย ก้องเสนาะ

ฤดูกาลนี้...เป็นช่วงที่ผลไม้ภาคตะวันออกได้ ให้ผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก ทั้ง เงาะ ทุเรียน ลองกอง สละ ฯลฯ หากเกษตรกรนำออกจำหน่ายสดๆไม่หมด ส่งผลให้ราคาก็ย่อมตกต่ำลง...

...การแปรรูปผลไม้...จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มมูลค่า...ผลไม้ ลอยแก้ว ก็เป็นอีกกรรมวิธีที่สามารถ...ยืดระยะเวลา เก็บรักษาไว้บริโภคได้ นานๆ ซึ่งผลไม้แต่ละชนิดการทำไม่เหมือนกัน โดยต้อง แยกแยะตามลักษณะของ
ผลไม้นั้นๆ...

ในอดีตเท่าที่ทำ ผลไม้ลอยแก้ว กันมานั้น มีทั้ง ลูกตาล กระท้อน เงาะ มะปราง และ ลำไย ซึ่งก็ไม่ ต้องใช้เทคนิคมากมายแค่ ปอกเปลือกเอาน้ำเชื่อมใส่ ก็เป็นลอยแก้วหรือหวานเย็นได้แล้ว

สละ เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณ...ประกอบไปด้วยทั้ง วิตามินซี แคลเซียม และ ฟอสฟอรัส วิธีแปรรูป ค่อนข้างละเอียดอ่อนเพื่อให้ได้มาซึ่งรสชาติและความอร่อย

"ทำได้ ไม่จน" ไปที่ สวนสละพันธุ์สุมาลี ของ นายพิชัย ก้องเสนาะ ประธานกลุ่มวิสาหกิจบ้านชากโดน อายุ 44 ปี ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ต.ชากโดน อ.แกลง จ.ระยอง


ผลผลิตสดๆในสวน

พิชัย บอกว่า ที่สวนแห่งนี้ได้ ปลูกสละอยู่ ประมาณ 400 กอ โดยมีวิธีการจัดการที่ดี ตั้งแต่การปลูกเป็นแนว ใช้ระบบน้ำหยด การควบคุมแมลงศัตรูพืชด้วยชีววิธี (ไม่มีสารเคมี) จากนั้นเมื่อสละมีอายุได้ 1-2 ปีก็สามารถให้ผลผลิต ได้แล้ว จึงใช้การทำคานเหล็ก เพื่อป้องกันการเน่าเสียของผลผลิตได้เป็นอย่างดี นอก จากจำหน่ายสดๆในสวนแล้ว หลังจากนั้นพวกเราช่วยกันทำสละลอยแก้วอีกด้วยโดย กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านชากโดน

สำหรับขั้นตอนเตรียมการนั้น เนื่องจาก ลูกสละที่มีหนามแหลมมาก เวลาจะปอกเปลือกต้องแกะลูกสละ ออกจากพวงนำใส่ตะกร้าพลาสติกแล้วจึง ลอกกระพี้โดยการเขย่าๆให้เสี้ยนหนามสีกันเอง จนหลุดลอดลงช่องว่างของตะกร้าออกไปให้หมด จึงนำมาปอกเปลือก




ขั้นตอนการแปรรูป

ต่อมาเริ่ม คว้านเมล็ดออกโดยใช้ปลายมีดเสียบเข้าด้านขั้วของลูกสละ เริ่มจากด้านบนที่เนื้อบางติดเมล็ด ให้ปลายมีดลึกประมาณครึ่งนึงเลยกึ่งกลางเมล็ดไปเล็กน้อย ค่อยๆหมุนมีดแล้วเลาะเนื้อออกจากเมล็ด แล้วก็กลับด้านเอามีดเสียบแล้วก็หมุนๆจนครบรอบ จากนั้นก็เอาปลายมีดหรือไม้แหลมๆดันเข้าทางขั้วของลูกเพื่อเอาเมล็ดออกแล้วนำไปล้างด้วยน้ำเปล่าให้สะอาดเอาขึ้นไว้ให้สะเด็ดน้ำ

ส่วนขั้นตอน ผสมน้ำตาลทรายกับน้ำสะอาด ให้วัดความหวานเท่ากับ 20 Brix โดยใช้เครื่องมือวัดความหวาน (เป็นค่าความหวานที่กลมกล่อม) จากนั้นนำไปตั้งไฟพอเดือดยกลง จากนั้นใส่สละที่เตรียมไว้ ใส่เกลือเล็กน้อย ชิมรสให้ได้ตามต้องการ ต้มพอ เดือดอีกครั้งยกลงทิ้งไว้ให้เย็นใส่น้ำแข็ง หรือนำเข้าตู้เย็น เสร็จแล้ว

เท่านี้ก็ได้ เนื้อสละลอยแก้วที่กรอบอร่อย ยิ่งเอาแช่ช่องฟรีซให้แข็ง ก่อนรับประทานยกออกมาสู่ อุณหภูมิสักนิดรสชาติจะดียิ่งขึ้น สามารถไว้นานประมาณ 1 สัปดาห์



ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านชากโดน บอกถึงเคล็ดลับว่า...ในการเลือกสละพันธุ์สุมาลีเพื่อนำไปแปรรูป ต้องใช้ผลสละที่มีอายุประมาณ 6 เดือนครึ่ง ก่อนหรือหลังไม่เกิน 5 วัน และไม่ให้มีสิ่งที่แปลกปลอม ไม่ให้ปะปนกับสละลอยแก้วอย่างละเอียด เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพให้ได้มาตรฐานขององค์การอาหารและยา (อย.)

สำหรับศักยภาพการผลิตของ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านชากโดน สามารถทำได้ วันละ 1,000 ถ้วย ใครสนใจไปชิมสละพันธุ์สุมาลี ที่ สวนคุณพิชัย กริ๊งกร๊างที่ 08-1782-4645, 08-7686-0418 ในเวลาที่เหมาะสม.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

ที่มา http://www.thairath.co.th/column/eco/capable/85649


ธุรกิจขายเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายผู้หญิง “ขายเสื้อผ้าสตรี” ยังคงเป็นหนึ่งในอาชีพยอดนิยม ไม่ว่าจะตามตลาดนัด ตลาดเปิดท้าย ย่านช็อปปิ้ง ซึ่งผู้หญิงนั้นเวลาเลือกซื้อเสื้อผ้าแม้จะดูจู้จี้จุกจิกบ้าง แต่ก็ซื้อเสื้อผ้าบ่อยกว่าผู้ชาย ธุรกิจหรืออาชีพขายเสื้อผ้าผู้หญิงจึงทำรายได้ได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การจะทำธุรกิจนี้ใช่ว่านึกอยากทำก็ทำได้เลย จำเป็นต้องเรียนรู้ศึกษาอะไรหลาย ๆ อย่างก่อนที่จะเปิดร้าน ซึ่งต้องเรียนรู้อะไร-อย่างไรบ้าง วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลอาชีพขายเสื้อผ้าสตรีมาให้ลองศึกษากันดู...

กิ๊ก-พนิตตา สุทธิธนากร เจ้าของร้าน “Vanita” ซึ่งขายเสื้อผ้าผู้หญิงอยู่ที่ตลาดหลังการบินไทย เล่าว่า เป็นคนที่ชอบขายของมาตั้งแต่สมัยเรียน โดยตอนที่ยังเรียนอยู่ก็จะใช้เวลาว่างไปขายเสื้อผ้าแบบแบกะดินเป็นประจำ จนหลังเรียนจบ เข้าทำงานประจำเป็นประชาสัมพันธ์องค์กรหนึ่ง จึงห่างหายจากการขายไปพักหนึ่ง

หลังจากทำงานประจำอยู่ระยะหนึ่ง ก็มีความคิดที่จะเปิดร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงเป็นอาชีพเสริมช่วงเวลาว่าง เพราะชอบขายของเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และที่เน้นขายเสื้อผ้าผู้หญิงเพราะคิดว่าการทำธุรกิจขายเสื้อผ้าผู้หญิงนั้นเป็นธุรกิจที่ขายได้แน่นอน เนื่องจากผู้หญิงจะชอบช็อปปิ้ง

ประกอบกับตนเองนั้นมีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศบ่อย ไปเห็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ ของแต่ละประเทศที่สวยงาม ก็อยากจะนำเข้ามาขายให้คนไทยได้สวมใส่ อีกอย่างหนึ่งก็เป็นคนชอบแต่งตัว เวลาไปทำงานมักจะมีเพื่อนทักว่าซื้อเสื้อผ้าจากที่ไหน ก็ยิ่งทำให้เกิดแรงบันดาลใจ จึงตัดสินใจเปิดร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิง

การที่จะเปิดร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงนั้น ไม่ใช่ว่านึกจะเปิดก็เปิดได้ทันที จะต้องมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างด้วย โดยพนิตตาบอกว่า “การจะเปิดร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิง อย่างแรกที่จะต้องดูก็คือตลาด เราจะต้องเดินหาตลาดที่มีลูกค้าตรงกับกลุ่มเป้าหมายของสินค้าที่เราจะขาย”

เมื่อได้ตลาดแล้ว จากนั้นก็มาดูในเรื่องของสินค้าที่เราจะนำมาลงขาย ซึ่งเนื่องจากธุรกิจร้านค้าขายเสื้อผ้าผู้หญิงนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้น เสื้อผ้าที่เราจะขายจำเป็นจะต้องเลือกหารูปแบบรูปทรงสไตล์ของเสื้อผ้าที่แตกต่างไปจากคู่แข่ง แต่ก็ต้องเลือกรูปแบบสไตล์ให้ดูเก๋ สามารถใส่ทำงานหรือใส่ไปเที่ยวก็ได้

ที่สำคัญจะต้องเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมในปัจจุบันด้วย

“แฟชั่นเสื้อผ้าผู้หญิงนั้นจะมีการเปลี่ยนสไตล์ไปเรื่อย ๆ เราจะต้องตามให้ทัน ถ้ายิ่งนำแบบเสื้อผ้าที่ใหม่เข้ามาขายก่อนร้านอื่น ๆ ยิ่งได้เปรียบ เพราะฉะนั้นต้องพยายามหาเทรนด์เสื้อผ้าใหม่ ๆ เข้าร้าน โดยอาจจะอาศัยดูข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตก็ได้”

เสื้อผ้าที่ซื้อเข้ามาขายในร้านนั้น ควรจะไปเลือกซื้อตามแหล่งที่ขายส่ง และอีกส่วนหนึ่งถ้ามีโอกาส-มีญาติมิตรได้เดินทางไปต่างประเทศ ก็สามารถจะเลือกซื้อเข้ามาขาย การเลือกซื้อก็จะดูตามแนวที่ต้องการ เน้นเนื้อผ้าที่ใส่สบายเหมาะกับอากาศในประเทศไทย และก็ดูเรื่องการตัดเย็บ จะต้องตัดเย็บเนี้ยบ เรียบร้อย

“บางที่เราดูแนวแฟชั่นใหม่ ๆ แล้วก็นำมาใส่ความคิดของเราเข้าไป ออกแบบให้เป็นสไตล์และเลือกลายผ้าตามแบบของตัวเอง แล้วก็ไปสั่งตัดมาขายในร้าน อย่างนี้ก็ได้ เพราะจะได้เป็นแบบของตัวเองไม่เหมือนใคร ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกกระโปรง” พนิตตากล่าว

พร้อมทั้งบอกต่อไปว่า การเลือกซื้อเสื้อผ้านั้น ก็ให้ดูแบบที่เป็นฟรีไซส์ การเลือกแบบเสื้อเข้ามาขายก็เลือกแบบละตัวสองตัวก็พอ จะได้มีแบบใหม่ ๆ เข้ามาขายให้ลูกค้าเรื่อย ๆ และนอกจากเสื้อผ้าแล้วถ้าจะให้ดีควรหาเครื่องประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ พวก กำไลข้อมือ ต่างหู แหวน ที่คาดผม ฯลฯ มาขายในร้านด้วย เพราะบางครั้งลูกค้าเข้ามาซื้อเสื้อในร้านแล้วไปถูกใจเครื่องประดับเพราะเข้ากับชุดที่ซื้อ ก็จะขายสินค้าได้เพิ่มขึ้นอีก

ในส่วนของการตกแต่งร้านก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะการแต่งร้านให้เข้ากับสินค้าที่เราขายก็มีส่วนที่จะเป็นการดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อของได้ อีกทั้งคนขายจะต้องพูดเก่ง และสามารถแนะนำการแต่งตัวให้ลูกค้าได้
การลงทุนเปิดร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงนั้น พนิตตาบอกว่า ใช้ทุนมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับราคาค่าเช่าสถานที่ขาย ขนาดร้าน อุปกรณ์ต่าง ๆ จำพวกราวแขวนเสื้อ ไม้แขวนเสื้อ หุ่นโชว์ กระจก ส่วนการซื้อเสื้อผ้าเข้าร้านนั้น สำหรับที่ร้านจะไปซื้อสัปดาห์ละครั้ง ใช้เงินทุนประมาณ 5,000 บาท

ส่วนราคาขาย สินค้าของร้านนี้จะมีตั้งแต่ประมาณ 200-1,500 บาท โดยมีต้นทุนประมาณ 50%

ร้านของพนิตตาอยู่ที่ ตลาดลุงเพิ่ม (ตลาดหลังการบินไทย) ซอย 5 ล็อคที่ 26A เปิดทุกวันจันทร์-วันเสาร์ ตั้งแต่ 10.00-17.00 น. เบอร์โทรศัพท์คือ 08-3123-0010 08-3123-0010 ใครสนใจรูปแบบร้าน หรือสนใจเสื้อผ้า ก็ลองไปดูกันได้ ส่วนใครที่สนใจจะทำอาชีพนี้ ก็เร่งศึกษา อย่ารอช้า !!

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ :รายงาน

คู่มือลงทุน...ขายเสื้อผ้าสตรี
ทุนเบื้องต้น ขึ้นอยู่กับทำเล-รูปแบบร้าน
ทุนสินค้า ประมาณ 50% ของราคาขาย
รายได้ ราคา 200-1,500 บาท/ตัว
แรงงาน 1 คนขึ้นไป
ตลาด จับกลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงาน
จุดน่าสนใจ เป็นอาชีพยอดฮิตทุกยุคสมัย



ทำง่ายๆ แต่ก็ 'ไม่ธรรมดา'

ทุเรียน มะม่วง เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของผลไม้ฤดูร้อน และข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวทุเรียน ก็เป็นขนมหวานอีกสองชนิดที่ถือเป็นเมนูเด็ดดาวเด่นประจำช่วงหน้าร้อน เพราะต้องรอกันมาทั้งปีกว่าจะได้กินกันเต็มที่ ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลอาชีพการขาย “ข้าวเหนียวมูน-น้ำกะทิทุเรียน” มาเสนอ...

“พิกุล ศรแก้ว” หรือ “ก้อย” ทายาทผู้สืบทอดกิจการร้านข้าวเหนียวมูน ช. ศรแก้ว รุ่นสาม ต่อจากคุณแม่ พิสมัย ศรแก้ว เล่าให้ฟังว่า ร้านข้าวเหนียวมูนร้านนี้เปิดขายมากว่า 30 ปี สืบทอดฝีมือการมูนข้าวเหนียวโบราณมาจากรุ่นคุณยายซึ่งทำขายอยู่ในตลาดศรีราชา จ.ชลบุรี เป็นสูตรพิเศษที่สืบทอดกันมาในครอบครัว ซึ่งก่อนจะมารับช่วงกิจการก็ไปเรียนปริญญาโทด้านนิเทศศาสตร์ ที่สหรัฐอเมริกา เรียนจบก็ทำงานเป็นเชฟร้านอาหารไทยในรัฐเทกซัส จนเมื่อคุณพ่อเสียจึงกลับมาช่วยดูแลกิจการของที่บ้าน

“ร้านเราเลือกใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุด เช่นข้าวเหนียวเลือกใช้พันธุ์เขี้ยวงูคัดพิเศษ ซึ่งเป็นข้าวเหนียวกลางปี เม็ดจะสวย อวบ ยาว และขาวสะอาด ซึ่งต้องสั่งตรงมาจาก จ.เชียงราย ส่วนกะทิที่ใช้คั้นใหม่สดทุกวัน ข้าวเหนียวมูนของที่ร้านสามารถเก็บไว้ได้นาน 2 วันโดยไม่ต้องเข้าตู้เย็น ไม่ใช่เพราะใส่สารกันบูด แต่เพราะคุณภาพของข้าวเหนียวมูนที่ผ่านกรรมวิธีที่สะอาด มีความใหม่สดทุกวัน เราใส่ถึงเครื่องถึงรส เพื่อรักษาคุณภาพต้นฉบับดั้งเดิม และคำนึงถึงความรู้สึกของลูกค้าเป็นสำคัญ”

จุดเด่นของข้าวเหนียวมูนร้านนี้ ก้อยบอกว่า อยู่ที่การผสมกะทิ ให้เข้ากับเนื้อข้าวเหนียวได้อย่างลงตัว มีความหอม หวาน มัน กลมกล่อมพอดี ตัวข้าวเหนียวนุ่มหนุบ เวลาเคี้ยวจะได้ความอร่อยครบครัน

สำหรับ “ข้าวเหนียวมูน-น้ำกะทิทุเรียน” วัตถุดิบ/ส่วนผสมใช้ทำ ตามสูตรก็มี... ข้าวเหนียวเขี้ยวงูคัดพิเศษ 1 กก., หัวกะทิ 10 ถ้วย, หางกะทิ 1 ถ้วย, น้ำตาลปี๊บ หรือน้ำตาลปึก 6 ช้อนโต๊ะ, เกลือป่น 2 ช้อนชา และเนื้อทุเรียนสุกหั่นเป็นชิ้น 4 ถ้วย

ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ หลักๆ ก็มี... เตาแก๊ส, ลังถึง, ไม้พาย, กะละมังขนาดใหญ่, หม้อสเตนเลส, ทัพพี, กระชอน, ผ้าขาวบาง, ฝาครอบ และเครื่องไม้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่สามารถหยิบฉวยได้จากในครัว

ขั้นตอนการทำ “ข้าวเหนียวมูน-น้ำกะทิทุเรียน” เริ่มจากลงมือทำข้าวเหนียวมูนก่อน อันดับแรกนำข้าวเหนียวที่เตรียมไว้มาแช่น้ำสะอาด ทิ้งไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง จากนั้นเอามาซาวน้ำ ล้างให้สะอาด ก่อนจะนำขึ้นนึ่งในลังถึง ให้รองผ้าขาวบางในลังถึง เกลี่ยข้าวเหนียวให้ทั่ว นึ่งในน้ำเดือดไฟแรงประมาณ 35 นาทีเพื่อให้เม็ดข้าวเหนียวอ่อนนุ่ม ระหว่างรอข้าวเหนียวสุกก็เตรียมทำน้ำกะทิที่ใช้ในการมูนข้าวเหนียว

การทำน้ำกะทิ นำหัวกะทิสดที่คั้นเตรียมไว้ 2 ส่วน โดยส่วนแรกนำมาใช้มูนข้าวเหนียว อีกส่วนใช้ทำน้ำกะทิทุเรียน ผสมน้ำกะทิสดส่วนแรก น้ำตาลปี๊บ เกลือ ให้รสชาติออกหวานเค็มพอดี ๆ ใช้ทัพพีคนส่วนผสมให้ละลาย กรองด้วยผ้าขาวบาง ยกขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ คนอย่าให้เป็นลูก พอส่วนผสมพอเดือด รีบยกลงตั้งพักไว้

เมื่อข้าวเหนียวสุก ยกลงจากเตาเทใส่กะละมัง เอาน้ำกะทิส่วนแรกที่ผสมเสร็จแล้วเทราดใส่ตามลงไปขณะร้อน ๆ ใช้ไม้พายมูนข้าวเหนียวกับน้ำกะทิให้เข้ากันจนทั่ว ปิดฝาพักไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ความร้อนจากข้าวเหนียวดูดซึมน้ำกะทิให้แห้ง

ต่อไปเป็นขั้นตอนการทำน้ำกะทิทุเรียน นำน้ำกะทิส่วนที่สองที่เตรียมไว้ น้ำตาลปี๊บ และเกลือ ใส่ลงในหม้อ คนให้เข้ากัน ยกขึ้นตั้งไฟ อ่อน ๆ พอเริ่มเดือดรีบยกลง นำเนื้อทุเรียนสุกที่หั่นเป็นชิ้น ๆ เตรียมไว้ ใส่ตามลงไป คนให้ส่วนผสมพอเข้ากัน เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย

การจัดเสิร์ฟ การขาย ก็ตักข้าวเหนียวมูนใส่ถ้วย ตักน้ำกะทิพร้อมเนื้อทุเรียนราดข้างบน

ราคาขายข้าวเหนียวมูน-น้ำกะทิทุเรียน ชุดละ 50 บาท ข้าวเหนียวมูน กก.ละ 120 บาท และร้านนี้ยังมีสังขยา ถ้วยละ 25 บาท, หน้าปลาแห้ง-หน้ากุ้ง กระปุกละ 30 บาท, ข้าวเหนียวมูนหน้าต่าง ๆ 10 บาท สำหรับมะม่วงสุก ราคาขายตามฤดูกาล ถ้าเป็นหน้ามะม่วงก็จะมีมะม่วงพันธุ์อกร่อง น้ำดอกไม้สวน น้ำดอกไม้ห่อ รวมถึงยังมีข้าวเหนียวมูนสมุนไพร ข้าวเหนียวมูนธัญพืช ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน ขายด้วย

ร้านข้าวเหนียวมูน ช. ศรแก้ว อยู่ในซอยโชคชัยร่วมมิตร ทางเข้าหมู่บ้าน ต.รวมโชค หรือโชคชัย 4 ซอย 54 ร้านอยู่ทางขวามือ หลังที่ 6 สังเกตจะมีช่อมะม่วง 2 ช่อโชว์เด่นอยู่หน้าร้าน เปิดขายตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้า ถึง 3 ทุ่ม มีบริการส่ง และรับจัดงานนอกสถานที่ โดยติดต่อได้ที่ โทร.0-2931-0000, 0-2931-0005 0-2931-0005 หรือ 08-1868-5384 08-1868-5384 ทั้งนี้ ขายข้าวเหนียวมูนก็เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ พลิกแพลง-สร้างเมนูได้หลากหลาย

รวมถึง “ข้าวเหนียวมูน-น้ำกะทิทุเรียน”.

เชาวลี ชุมขำ : รายงาน

ที่มา http://www.dailynews.co.th/


วันก่อนเจ๊เจ๋อตั้งกระทู้ before & After หลังจากน้องซัน ดาราช่อง 7 ไปกรีดตามา แบบว่าของเดิมดีกว่า เม้าท์ๆ กันอยู่ วันนี้ก็เป็นข่าวว่าเงินที่ไปอัพหน้าเด้งมานั้น เป็นของพี่เอ ศุภชัย ที่ตอนนี้ร่ำๆ ว่าจะขอเงินแสนที่พาไปอัพมานั่นคืน (ตามที่ได้อ่านจาก ดาราเดลี่)

วันนี้ในสยามดาราเจ๊เอแกก็ออกมาปฏิเสธ

''ไม่มีนะเรื่องการฟ้องร้อง พี่เอก็งงมากว่าข่าวนี้มาได้ยังไงแล้วพี่เอจะบอกเลยว่าพอคุณแดง (สุรางค์ เปรมปรีดิ์) ทราบเรื่องคุณแดงก็เรียกพี่เอไปพบคุณแดงเอาเงินของทางช่องใช้คืนพี่เอ ซึ่งพี่เอก็บอกไม่เป็นไรเพราะเงินก็ไม่ใช่จำนวนเยอะอะไรมากแต่คุณแดงท่านก็ บอกว่าพี่เอไม่จำเป็นต้องจ่ายมันไม่ใช่เรื่องของพี่ แต่คุณแดงก็ตำหนิว่าต่อไปทำให้ปรึกษาก่อนโดนตีไป 2 ที แต่ต้องบอกว่าคุณแดงท่านน่ารักมากนะพอทราบเรื่องก็รีบเคลียร์ให้พี่เลย แล้วแบบนี้พี่จะไปฟ้องร้องน้องซันทำไมจริงมั้ย''

จากนั้น ''เอ-ศุภชัย'' ได้เล่าต่อถึงสาเหตุที่ตนเองออกเงินให้ ''ซัน-พิชยดนย์'' ไปขึ้นเขียงเสริมความหล่อว่า

''คือจริงๆ แล้วพี่เอไม่ได้สนิทกับน้องซัน (พิชยดนย์) นะ พี่เอสนิทกับคุณแม่น้องซันมากกว่าแล้วพอดีก็เจอคุณแม่น้องซันด้วยความที่ สนิทกันคุณแม่เค้าก็มาปรึกษาให้พี่เอช่วยแนะนำหน่อยว่าน้องซันน่าจะแก้ไข ส่วนไหนบ้าง แต่พี่เอต้องขอบอกก่อนเลยนะว่าพี่เอเป็นคนที่แอนตี้การทำศัลยกรรมมากๆ เด็กๆ ในสังกัดพี่ทุกคนก็ไม่ได้มีใครทำเต็มที่ก็แค่ดัดฟันเท่านั้น แต่หลายคนจะมองว่าพี่ถนัดเรื่องความสวย ความงามอะไรแบบนี้ก็เลยให้พี่แนะนำให้ ซึ่งพอคุณแม่น้องซันมาถามพี่ก็แนะนำให้ว่าเออ..หางตาตกไปนะน่าจะยกหางตาขึ้น หน่อยก็แค่นั้นเอง พี่เอก็แค่แบบถ้าคุณแม่จะพาน้องไปทำเดี๋ยวเอาเงินเอไปก่อนก็ได้คือพี่เอสนิท กับคุณแม่ไงก็ไม่คิดอะไรและจำนวนเงินก็ไม่ได้เยอะอะไรด้วยพี่เอก็จ่ายให้ไป ก่อน''

แบบนี้เค้าเรียกว่าสร้างกระแสไปวันๆ

03:06

Toyota New Vios ดีไซน์ใหม่ สไตล์สปอร์ตหรู

เขียนโดย Thaihotnew |


วีออส ใหม่ ได้รับกการปรับปรุงใหม่ให้มีความหรูหรามากขึ้น สีสันมีให้เลือกเยอะขึ้นกว่าเดิม การตกแต่งใหม่แฝงความสปอร์ต ภายในเพิ่มชุดอุปกรณ์มากมายเน้นความสะดวกสบายต่อการใช้งาน มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 109 แรงม้า อีกทั้งระบบความปลอดภัยครบครัน สนนราคาเริ่มเต้นที่ 514,000 บาท

วีออส ใหม่ ได้รับการปรับปรุงโฉมเพิ่มความหรูหราแฝงความสปอร์ต กระจังหน้าได้รับการออกแบบใหม่เสริมบุคลิคด้วยแถบโครเมี่ยม ดีไซน์ใหม่ สไตล์สปอร์ตหรู ไฟท้ายแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ดีไซน์ใหม่ ลงตัวอย่างมีเอกลักษณ์ สว่าง ปลอดภัย คิ้วฝากระโปรงท้ายใหม่ โฉบเฉี่ยวด้วยคิ้วโครเมี่ยม หรูหราทุกมุมมอง ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ พร้อมยางขนาด 185/60R15 ไฟตัดหมอกหน้า ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยการขับขี่ในขณะฝนตกหรือหมอกจัด กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว หรูหรา ชัดเจน เพิ่มความปลอดภัย ส่วนภายในปรับปรุงแผงคอนโซลกลางและประตูตกแต่งแบบเมทัลลิกใหม่ เท่ห์ลงตัว หัวเกียร์หุ้มหนัง พร้อมฐานเกียร์โครเมียมใหม่ หรูหรา ภูมิฐาน พวงมาลัยหุ้มหนังสไตล์สปอร์ตพร้อมสวิทซ์ควบคุมเครื่องเสียง เพิ่มความสะดวกและปลอดภัยขณะขับขี่



จอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID (Multi-information Display) แสดงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการขับขี่ อาทิ ระยะทางรวม อัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย และความเร็วเฉลี่ยเป็นต้น ช่องเสียบ AUX สำหรับเครื่องเล่น MP3 ตอบสนองชีวิตทันสมัย ตลอดการเดินทาง

วีออสใหม่ยังคงใช้ เครื่องยนต์ 1NZ-FE DOHC 16 วาล์ว VVT-I ขนาด 1,497 ซีซี ให้กำลังสูงสุด แรงม้าสูงสุด80 กิโลวัตต์ (109ps) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด141 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาทีควบคุมได้ดั่งใจ ให้ทุกการเดินทางราบรื่น นุ่มนวล ด้วยระบบกันสะเทือนหน้า แม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง และระบบกันสะเทือนหลังแบบ ทอร์ชั่นบีม มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ

วีออส ใหม่ มีให้เลือก 7 สี รวม 2 สีใหม่ให้คุณโฉบเฉี่ยว ไม่เหมือนใคร ได้แก่ สีแดง (Blackish Red Mica ใหม่) สีฟ้า (Light Blue Mica Metallic ใหม่) สีขาว (Super white) สีเงิน (Silver Metallic) สีเทา (Medium Silver Metallic) สีดำ(Black Mica) สีทอง (Beige Metallic) สำหรับราคาวีออสใหม่เริ่มต้นที่ 514,000-714,000 บาท



ชมรายละเอียดเพิ่มเติมคลิกที่นี่ http://auto.sanook.com/item/672-โต-โยต้า-วีออสใหม่-ไมเนอร์เชนจ์-make-it-happen-ทำทุกสิ่งให้เป็นจริง.html



คำค้นหา

3สถิติรวด (1) กินเน็ตบุค (1) กูเกิล (1) เกย์ (1) ขายเสื้อผ้าสตรี (1) 'ข้าวเหนียวมูน-น้ำกะทิทุเรียน' (1) ไข้หวัด2009 (1) คลับแอสทีเรีย (1) คลิป ธัญญ่า เป๊ก (1) คลิปเสียง ธัญญ่า (1) เจ้าแม่กวนอิม-ลิ้มกอเหนี่ยว (1) ซีเอสไอ ไมอามี (1) ซู ซาน บอยล์ (1) เซ็นทรัลเวิลด์ (1) เซี่ยงไฮ้ (1) ฐิตินาถ ณ พัทลุง (1) เดอะกิ๊ก3 (1) ติดบุหรี่ (1) ตี 10 (1) แต่งหน้า (1) ถังดับเพลิง (1) ทรู อคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่น7 (1) ทรู อคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่น7 (ทรู เอเอฟ7) (2) ธัญญ่า เป๊ก พิ้งกี้ (2) ‘ธุรกิจนมปั่น’ (1) น้องซัน ศัลยกรรม (1) บันทึกชื่อ (1) เบนซ์ นางเอกเดอะกิ๊ก 3 (1) ปอv12 (1) แปรรูปลอย (1) ผีมาเข้าฝัน (1) ผู้ชาย (1) แผน 555 (1) แผนสร้างความปรองดองแห่งชาติ (1) ฝ้าย บุศริน (1) พจน์ อานนท์ (2) พจน์ แอนนี่ ฟิลม์ (1) พจน์ แอนนี่ ฟิลม์ จุ้น (1) พจน์ แอนนี่ ฟิลม์ ตีสิบ (1) พระปราโมทย์ (1) พิ้งกี้ (1) พิ้งกี้ เป๊ก (1) ฟิล์ม-รัฐภูมิ (5) ฟิล์ม แอนนี่ บรู๊ค (6) รายการ ตีสิบ (1) ลูกสาวเข้าฝันแม่ (1) เลดี้ กาก้า (1) เลิกบุหรี่ (1) "สุนทรภู่" (1) โหรวารินทร์ (1) เอ๊กซโป (1) แอนนี่ บรู๊ค (6) ฮวงจุ้ย (1) เฮียฮ้อ (1) เฮียฮ้อ จุ้น แอนนี่ (1) facebook (1) gay (1) google (1) Toyota New Vios (1)
Subscribe